คลับเกษตรพอเพียง
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
การปลูกมะเดื่อฝรั่ง
ก่อนจะปลูก เรามารู้สรรพคุณของมะเดื่อฝรั่งก่อนนะครับ ว่าเป็นอย่างไร ...........?
มะเดื่อฝรั่ง ผลไม้เพื่อสุขภาพ
มะเดื่อฝรั่ง เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้ยินชื่อแล้วหลายคนอาจสงสัยว่า ผลไม้ชนิดนี้มีลักษณะผลอย่างไรและผลไม้ชนิดนี้มีในประเทศไทยด้วยหรือ อันที่จริงแล้วมะเดื่อฝรั่งเป็นพืชที่มีปลูกและศึกษาวิจัยมาเกือบ 25 ปีแล้ว โดยเป็นความร่วมมือของมูลนิธิโครงการหลวงและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โดยมีวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นการปลูกพืชที่สร้างรายได้ให้กับชาวไทยภูเขาทดแทนการปลูกฝิ่นทางภาคเหนือ กระทั่งทุกวันนี้การศึกษาวิจัยมะเดื่อฝรั่งก็ยังมิได้จบสิ้นลง ทางมูลนิธิโครงการหลวงและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังคงเร่งศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแปลงวิจัยอยู่ที่สถานีเกษตรหลวงปางดะ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการทดลองปลูกมะเดื่อฝรั่ง 2 ลักษณะ คือ การปลูกในโรงเรือนและการปลูกนอกโรงเรือน ภายใต้การดูแลของ ดร.ณรงค์ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คุณรุ่งธิวา ปาปะขำ นักวิชาการเกษตร สถานีเกษตรหลวงปางดะ ทีมงานวิจัยมะเดื่อฝรั่ง กล่าวว่า มะเดื่อฝรั่งเป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับหม่อน เป็นพืชประเภทกึ่งร้อนถือว่าเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีการปลูกกันมากทางตะวันตกของทวีปเอเชีย ส่วนการปลูกที่เป็นการค้าของโลกจะอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศอิตาลี โปรตุเกส สเปน ตุรกี และกรีซ บางพันธุ์สามารถปลูกได้ในแคลิฟอร์เนียทางใต้และพื้นที่แห้งแล้งของประเทศสหรัฐอเมริกา และพบว่า
มีการผลิตต้นมะเดื่อฝรั่งบางสายพันธุ์ ได้แก่ Conadria, Beall, Brow Turkey, Purplish Black ซึ่งสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ ถึงแม้จะประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคแมลงในแปลงทดลองบ้างก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ส่งเสริมให้กับเกษตรกรปลูกเป็นการค้า อันเนื่องมาจากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในบางประการตลอดจนลักษณะการบริโภคของคนไทยต่อผลไม้ชนิดนี้จนกระทั่งปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีการศึกษาวิจัยลักษณะสัณฐานวิทยา กายวิภาควิทยา และการเจริญเติบโตของมะเดื่อฝรั่งอีก 2 สายพันธุ์ ได้แก่ White Marseilless และ Dauphine ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างข่าง และในปี 2547 ได้มีการนำพันธุ์มะเดื่อฝรั่งเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นอีก 5 สายพันธุ์ ได้แก่ คาโดต้า ลิซ่า ชูก้า ดรอฟินส์ และบราว เทอร์กี้ โดยได้นำมาปลูกไว้ที่สถานีเกษตรหลวงปางดะ เพื่อขยายพันธุ์ และในปี 2548
ได้มีการปลูกเพื่อทำการวิจัยทดสอบการปลูกมะเดื่อฝรั่งในโรงเรือนและนอกโรงเรือนเพื่อศึกษาความเจริญเติบโตและอื่นๆ โดยทดสอบปลูกมะเดื่อฝรั่งในโรงเรือน รวมทั้งหมด 58 ต้น มี 7 สายพันธุ์ โดยแบ่งเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับการบริโภคสด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์บราว เทอร์กี้ อินทนนท์ จำนวน 24 ต้น พันธุ์บราว เทอร์กี้ เจแปน จำนวน 6 ต้น พันธุ์ดรอฟินส์ จำนวน 2 ต้น และพันธุ์ชูก้า จำนวน 6 ต้น ส่วนอีก 3 สายพันธุ์ จะปลูกเพื่อการแปรรูปในโรงงานอุตสาหกรรม ได้แก่ พันธุ์คาโดต้า จำนวน 6 ต้น พันธุ์เซเลสเต้ จำนวน 6 ต้น และพันธุ์ลิซ่า จำนวน 6 ต้น
ด้าน ดร.ณรงค์ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการวิจัยทำให้ทราบว่า การปลูกมะเดื่อฝรั่งในโรงเรือนให้ผลผลิตได้ดีกว่าการปลูกนอกโรงเรือน เพราะการปลูกนอกโรงเรือนพืชต้องพบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเสี่ยงต่อการเกิดโรคและแมลงรบกวน ซึ่งการปลูกมะเดื่อฝรั่งในระบบโรงเรือนจากข้อมูลการเจริญเติบโตเบื้องต้นพบว่า
การเจริญทางกิ่งใบมีการเจริญเติบโตดี แตกกิ่งก้านได้มาก เมื่อโน้มกิ่งจะออกดอกติดผลอย่างสม่ำเสมอ โดยภายในโรงเรือนไม่มีการทิ้งใบหมด เหมือนพื้นที่ปลูกที่สูงกว่าและจะแตกกิ่งใหม่เพื่อให้ผลผลิตขนาดผลเฉลี่ย พันธุ์บราว เทอร์กี้ 50 กรัม พันธุ์ดรอฟินส์ 100 กรัม พันธุ์คาโดต้า 45 กรัม พันธุ์เซเลสเต้ 15 กรัม พันธุ์ลิซ่า 30 กรัม และพันธุ์ชูก้า 35 กรัม ส่วนการปลูกทดสอบนอกโรงเรือน ยังต้องทำการศึกษาการพัฒนาของผล ตั้งแต่การติดผลถึงเก็บเกี่ยว ศึกษาอายุใบ และการขยายพันธุ์ต่อไป
คุณค่าทางด้านอาหาร มะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก มีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติมากถึง 83 เปอร์เซ็นต์ เป็นแหล่งพลังงานจากสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ยังเป็นแหล่งอาหารประเภทให้เส้นใยที่เป็นประโยชน์ต่อการกำจัดของเสียของร่างกาย เกลือโพแทสเซียมในกรดอินทรีย์ของมะเดื่อฝรั่งจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างความเป็นกรดด่างในร่างกาย
นอกจากนี้ ยังพบว่าภายในผลมีโปรตีนเอนไซม์ วิตามินและเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี ซี และแคลเซียม มีไฟเบอร์สูงมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เป็นผลไม้ที่ไม่มีธาตุโซเดียมและคอเลสเตอรอล ที่สำคัญยังพบว่ามีสารยับยั้งและป้องกันเซลล์มะเร็ง
"แม้ว่ามะเดื่อฝรั่งจะเป็นพืชที่อยู่ระหว่างการทดลองก็ตาม แต่คาดว่าหลังจากเสร็จสิ้นการทดลองหรือภายในปีนี้จะสามารถส่งเสริมไปยังเกษตรกรได้ เนื่องจากมะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีราคาสูงเฉลี่ยกิโลกรัมละประมาณ 200-300 บาท ซึ่งจะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อเป็นผลไม้บำรุงสุขภาพ และจะสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดีด้วย
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=2240
การตอนกิ่งโดยไม่ต้องควั่นกิ่งและไม่ต้องขูดเยื่อเจริญ
ผมพบว่ามีเกษตรกรหลายท่านที่ยังมีปัญหากับการขยายพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่งพันธุ์พืชอยู่ จึงขออนุญาตนำเสนอการตอนกิ่งอีก 1 วิธีนอกเหนือจากการตอนด้วยวิธีปกติที่ทำๆกัน เป็นวิธีที่ง่ายสบายๆใครๆหรือคุณๆก็สามารถทำได้ครับ นี่เป็นตัวอย่างกิ่งตอนที่ผมทำอยู่ในโครงการทดลอง เป็นกิ่งพันธุ์มะนาวครับทำไว้กว่า 500 กิ่ง
ส่วนนี่เป็นต้นมันปู พืชกินใบของอร่อยของทางภาคใต้ครับ
ที่มาจาก : เกษตรพอเพียง
จุลินทรีย์หน่อกล้วย
จุลินทรีย์หน่อกล้วย
กล้วยปลูกที่ไหน ดินบริเวณกอกล้วย ณ ที่นั้นจะดี เบื้องหลังความร่วนซุยอุ้มน้ำของดินดังกล่าว เกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินรอบๆรากกล้วย ซึ่งหากขยายเชื้อให้มากแล้ว ย่อมนำไปใช้ปรับปรุงดินที่อื่นๆ ให้ดีขึ้นได้
นอกจากนั้น หน่อกล้วย มีน้ำยางฝาด หรือสารแทนนินมาก เมื่อหมักแล้ว น้ำที่หมักได้ ยังสามารถนำมาใช้ ในการควบคุมโรคพืชบางอย่างได้ ทั้งยังสามารถนำไปใช้ปรับปรุงสภาพน้ำที่เน่าเสียให้ฟื้นสภาพกลับดีขึ้นได้อีกด้วย
วิธีทำ
ขุดหน่อกล้วยต้นที่สมบูรณ์ไม่เป็นโรค ขนาดหน่อสูงจากโคนถึงปลายใบไม่เกิน 1 เมตร เอาเหง้าพร้อมราก(ใหญ่ๆ) ให้มีดินติดรากมาด้วย สับ หรือ บดย่อยทุกส่วนทั้งหมด ทั้งใบ หยวก เหง้า และ ราก ให้ละเอียดโดยไม่ต้องล้างน้ำ แล้วนำมาคลุกเคล้ากับการน้ำตาล ในอัตราส่วน หน่อกล้วย 3 ส่วน ใช้กากน้ำตาล 1 ส่วน หมักในภาชนะพลาสติคมีฝาปิดในที่ร่มอากาศถ่ายเทได้สะดวก 7 วัน แล้วคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ เรียกน้ำหมักนี้ว่า จุลินทรีย์หน่อกล้วย
วิธีใช้
1.ปรับปรุงโครงสร้างของดิน และ กำจัดเชื้อโรคในดิน
ผสมจุลิทรีย์หน่อกล้วย 20-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดรดลงดินร่วมไปพร้อมๆกับการให้น้ำ ซึ่งการใช้ในแต่ละครั้ง รวมทั้งหมดแล้ว อย่าให้เกิน 3 ลิตร ต่อ ไร่
2. ป้องกันกำจัดโรคพืช
ผสมจุลิทรีย์หน่อกล้วย 20-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดต้นพืชให้เปียกชุ่มโชก ทั้งบนใบ และใต้ใบ เพื่อล้างน้ำฝน ภายหลังจากที่ฝนหยุดตกแล้วนานเกิน 30 นาที ฉีดพ่นล้างหมอกก่อนแดดออก ฉีดพ่นป้องกันโรคที่มากับน้ำค้างช่วงตอนเย็น หรือฉีดพ่นในอัตรา 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบการระบาดของโรคพืช ทั้งเว้นการให้น้ำ 48 ชั่วโมง เพื่อลดความชื้น
3. ปรับปรุงคุณภาพน้ำในร่องสวน สระเก็บกักน้ำ และบ่อเลี้ยวสัตว์น้ำ
ใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร
4.ล้างทำความสะอาดคอกสัตว์
ฉีดพ่นด้วยน้ำจุลินทรีย์ 1 ลิตร ต่อน้ำ 100 ลิตร
5. เร่งการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุ หรือดับกลิ่นขยะของเน่าเสีย
ฉีดพ่นด้วย จุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร กรณีหมักฟางในนาข้าว ใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ลิตร ต่อ พื้นนา 1 ไร่
จุลินทรีย์หน่อกล้วย เก็บไว้ได้นาน 6 เดือน
สูบน้ำโดยใช้ถังสุญญากาศ
http://www.ch7.com/news/news_scoop7see_detail.aspx?c=5&p=403&d=93659
ใครพอจะเข้าไปติดต่อได้บ้างครับ ว่า ถ้าหากเราต่อท่อดูดลงไปข้างล่างที่ต่ำกว่าปากถัง 200 ลิตรแล้วยังสามารถมีน้ำไหลได้อยู่หรือไม่ ? แต่เท่าที่ดูคนที่รดน้ำต้นไม้ยังต้องนั่งลงเลยน่ะ สงสัยต้องให้ระดับที่รดต่ำกว่าน้ำในถังหรือเปล่า ? ถ้าอยู่ใกล้น่าจะไปดูให้เห็นกับตา อย่างน้อยเค้าก็มีถังเหล็กๆ หนาๆ ไว้ให้ทดสอบอยู่แล้วน่ะครับ ใครไปมาแล้วแจ้งข่าวด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
"แสงสว่างตรงเส้นขอบฟ้า ถึงแม้จะลางเลือน แต่มันก็ยังเป็นแสงสว่างที่นำทางเราเดิน"
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
สูตรการทำอาหารปลาแบบประหยัดต้นทุน
สูตรการทำอาหารปลาแบบประหยัดต้นทุน
การทำอาหารปลา ทางที่มงานร่วมด้วยช่วยกัน หลายๆจังหวัดคงได้เคยนำเสนอกันไปแล้ว แต่วันนี้ทีมงานร่วมด้วยช่วยกันจังหวัดสระบุรีได้ไปบุกบ้านสวนของคุณประ วิทย์ อรรถวิเวก เกษตรกรผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำสวนผสมผสานจากการรับราชการผันตัวมาเป็น เกษตรกรแบบเต็มตัว ได้ลงมือทำเองโดยการพัฒนาผืนที่ที่มีอยู่ให้เป็นเงินและแลกกับหยดเหงื่อทุก หยด การทำอาหารปลาของคุรประวิทย์ จะใช้กับปลาที่เลี้ยงไว้ ก็คือ ปลาจาระเม็ด ปลาดุก ปลานิล
คุณประวิทย์ อรรถวิเวก ปัจจุบันอายุ62ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่32หมู่5ตำบลบางหลวง อ.บางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่จะมาทำการเกษตรแบบจริงจังก็ได้รับราชการครูมาก่อนและได้เกษียณอายุราชการก่อนกำหนดเมื่อปี2547และได้หันมาทำการเกษตรแบบจริงจัง หลังจากเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด อาจารย์ประวิทย์ก็ได้นำแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทำอยู่แล้วให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ปลูกพืชผักและผลไม้ต่างๆ และเมื่อมีเวลาว่างหลังเกษียณก็ได้มาปรับปรุงผลไม้ในสวนที่ปลูกไว้ มีการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ การทำการเกษตรแบบอินทรีย์หรือการปลูกพืชโดยใช้สารชีวภาพ ได้แก่การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ฮอร์โมนไข่ สารสกัดชีวภาพ ในการทำการเกษตร และพื้นที่ภายในสวนก็ไม่ยอมปล่อยให้ให้เปล่าประโยชน์ ในน้ำก็จะเลี้ยงปลาหลายชนิดและในสวนก็มีการศึกษาการปลูกไม้ผล โดยอาจารย์ประวิทย์จะปลูกเองทุกต้น ขยายพันธุ์เอง และดูแลเอาใจใส่ ส่วนผลไม้ที่ขึ้นชื่อนั้นก็คือ ส้มโอพันธุ์ขาวหอมเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่หายไปแต่อาจารย์ก็นำพันธุ์มาขยายไว้ มะขามเทศ ฝรั่งฯลฯอีกมากมายที่อาจารย์ประวิทย์ได้ปลูกไว้ที่สวนด้วย
เทคนิคการทำอาหารปลา
การทำอาหารปลา ทางที่มงานร่วมด้วยช่วยกันหลายๆจังหวัดคงได้เคยนำเสนอกันไปแล้ว แต่วันนี้ทีมงานร่วมด้วยช่วยกันจังหวัดสระบุรีได้ไปบุกบ้านสวนของคุณประวิทย์ อรรถวิเวก เกษตรกรผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำสวนผสมผสานจากการรับราชการผันตัวมาเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัว ได้ลงมือทำเองโดยการพัฒนาผืนที่ที่มีอยู่ให้เป็นเงินและแลกกับหยดเหงื่อทุกหยดการทำอาหารปลาของคุรประวิทย์ จะใช้กับปลาที่เลี้ยงไว้ ก็คือปลาจาระเม็ด ปลาดุก ปลานิล
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
1.ฟางข้าว50กิโลกรัม
2.มูลไก่50กิโลกรัม
3.EM หรือน้ำหมักชีวภาพสูตรใดก็ได้ 1ลิตร
4.กากน้ำตาล10กิโลกรัม
5.น้ำ 10ลิตร
วิธีการทำ
จะนำฟางหั่นให้เป็นท่อนเล็กๆแล้วก็นำมาคลุกเคล้ากับมูลไก่แล้วพักไว้ หันมาผสมEM กับน้ำแล้วก็เทกากน้ำตาลลงไปผสมค้นให้เข้ากัน แล้วนำไปราดในฟางที่คลุกกับมูลไก่แล้ว คลุกให้เข้ากัน เสร็จแล้วแบ่งออกเป็น4กองเท่าๆกัน แล้วนำไปวางไว้ตามมุมบ่อปลา เพื่อให้เป็นอาหารปลาให้ปลามากินเอง และแนะนำให้ทำในที่ร่มเพื่อรักษาจุลินทรีย์ด้วย
ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม
หนุนเลี้ยงตัวเงินตัวทอง สัตว์ ศก.ไทยอีก 2 ปีข้างหน้า
หนุนเลี้ยงตัวเงินตัวทอง สัตว์ ศก.ไทยอีก 2 ปีข้างหน้า
ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม
|
||
|
การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์
การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์
• เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด โดยบ่อที่นิยมจะมาขนาด 3 x 4 เมตร หรือใหญ่กว่า
• สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ ควบคุมโรครวมถึงการจับแบบทยอยจับได้
• บ่อส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ที่เป็นพื้นบกสำหรับกบอาศัยอย่างน้อย 70% ของบ่อ ที่เหลือเป็นพื้นน้ำ
ลักษณะบ่อปูนซีเมนต์เลี้ยงกบ
• โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อ
• บ่อเลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลือง มีหลายขนาด เช่น 3×4 , 3.2×4 , 4×4 , 4×5 , 4×6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
• บ่อเลี้ยงจะมีการเทคานและใช้อิฐบล็อค 4 – 6 ก้อนก่อเป็นผนัง พื้นบ่อมีการเทปูนหนาพอสมควรเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30- 50 เซนติเมตร
• บ่อกบควรตั้งอยู่กลางแจ้ง มีแสลนกรองแสงทำเป็นหลังคาและกันแดด รวมทั้งมีตาข่ายกันนกหรือศัตรูที่จะเข้ามาจับกินกบ
• มีการวางระบบน้ำ โดยเดินท่อพีวีซีไปยังทุกบ่อ เพื่อเติมน้ำในขณะที่เปลี่ยนน้ำออกจากบ่อ
• โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อ
• บ่อเลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลือง มีหลายขนาด เช่น 3×4 , 3.2×4 , 4×4 , 4×5 , 4×6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
• บ่อเลี้ยงจะมีการเทคานและใช้อิฐบล็อค 4 – 6 ก้อนก่อเป็นผนัง พื้นบ่อมีการเทปูนหนาพอสมควรเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30- 50 เซนติเมตร
• บ่อกบควรตั้งอยู่กลางแจ้ง มีแสลนกรองแสงทำเป็นหลังคาและกันแดด รวมทั้งมีตาข่ายกันนกหรือศัตรูที่จะเข้ามาจับกินกบ
• มีการวางระบบน้ำ โดยเดินท่อพีวีซีไปยังทุกบ่อ เพื่อเติมน้ำในขณะที่เปลี่ยนน้ำออกจากบ่อ
น้ำสำหรับใช้เลี้ยงกบ
• ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็นกรดด่างของน้ำ (พีเอชประมาณ 7 จะดี) ความกระด้าง ค่าอัลคาไลนิตี้ ปริมาณแอมโมเนีย แร่ธาตุในน้ำ ฯลฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่
• หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้ง หนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
• น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมี ที่ใช้ในการเกษตร ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน
• หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้ แต่บางที่มีคุณภาพดีก็นำมาใช้เลี้ยงกบรุ่นๆได้เลยเช่นกัน
• ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็นกรดด่างของน้ำ (พีเอชประมาณ 7 จะดี) ความกระด้าง ค่าอัลคาไลนิตี้ ปริมาณแอมโมเนีย แร่ธาตุในน้ำ ฯลฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่
• หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้ง หนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
• น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมี ที่ใช้ในการเกษตร ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน
• หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้ แต่บางที่มีคุณภาพดีก็นำมาใช้เลี้ยงกบรุ่นๆได้เลยเช่นกัน
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่ทุ่งไร่ ทุ่งนาได้ดี
2. อายุการใช้งานของบ่อปูนจะนานและเอนกประสงค์กว่าแบบอื่นๆ
3. เปลี่ยนถ่ายน้ำได้บ่อยๆ และง่าย รวดเร็ว
4. ให้อาหารง่าย ไม่เปลืองอาหารมากนัก
5. ควบคุมดูแลโรคได้ง่ายกว่าแบบอื่นๆ เพราะมองเห็นกบได้ง่ายกว่า
6. เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดทางหนึ่ง
7. สามารถจับกบขายได้ตลอดเวลข้อเสีย
1. อันตรายต่อผู้เลี้ยงที่มีอายุมาก เนื่องจากบ่อปูนจะลื่นมากเมื่อขังน้ำไว้นานๆ และมีตะไคร่น้ำเกาะติด ทำให้เสี่ยงต่อการลื่นล้มเป็นอัมพาฒ หรือเป็นลมแดด หัวฟาดจนจมน้ำเสียชีวิตได้
(แนะนำกระชังแบบตั้งบนพื้นดิน เติมน้ำใช้เลี้ยงกบได้ทันที ทั้งประหยัดและปลอดภัยที่สุด)
2. ลงทุนในครั้งแรก สูงกว่าแบบอื่นๆมาก ระยะเวลาคืนทุนนานมาก
3. กบมักจะมีกลิ่นเหม็นอับ หรือมีกลิ่นปูนติดตัวมาด้วย ขาดความเป็นธรรมชาติเล็กน้อย
4. ถ้าทำขอบบ่อไม่เรียบ มักเกิดปัญหาโรคกบเป็นแผล จากการกระโดดชนผนังปูน
5. ถ้าเลิกเลี้ยงและต้องการใช้พื้นที่ไปทำกิจการอื่นๆ ต้องเสียค่าทุบและรื้อถอนค่อนข้างสูง
ขอบคุณข้อมูลจาก : ฟาร์มกบ อบอ๊บฟาร์ม
ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)