วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สูตรการทำอาหารปลาแบบประหยัดต้นทุน

สูตรการทำอาหารปลาแบบประหยัดต้นทุน

การทำอาหารปลา ทางที่มงานร่วมด้วยช่วยกัน หลายๆจังหวัดคงได้เคยนำเสนอกันไปแล้ว แต่วันนี้ทีมงานร่วมด้วยช่วยกันจังหวัดสระบุรีได้ไปบุกบ้านสวนของคุณประ วิทย์ อรรถวิเวก เกษตรกรผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำสวนผสมผสานจากการรับราชการผันตัวมาเป็น เกษตรกรแบบเต็มตัว ได้ลงมือทำเองโดยการพัฒนาผืนที่ที่มีอยู่ให้เป็นเงินและแลกกับหยดเหงื่อทุก หยด การทำอาหารปลาของคุรประวิทย์ จะใช้กับปลาที่เลี้ยงไว้ ก็คือ ปลาจาระเม็ด ปลาดุก ปลานิล

ชื่อ:  sb_Fish3.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  53.3 กิโลไบต์
คุณประวิทย์ อรรถวิเวก ปัจจุบันอายุ62ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่32หมู่5ตำบลบางหลวง .บางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่จะมาทำการเกษตรแบบจริงจังก็ได้รับราชการครูมาก่อนและได้เกษียณอายุราชการก่อนกำหนดเมื่อปี2547และได้หันมาทำการเกษตรแบบจริงจัง หลังจากเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด อาจารย์ประวิทย์ก็ได้นำแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทำอยู่แล้วให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ปลูกพืชผักและผลไม้ต่างๆ และเมื่อมีเวลาว่างหลังเกษียณก็ได้มาปรับปรุงผลไม้ในสวนที่ปลูกไว้ มีการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ การทำการเกษตรแบบอินทรีย์หรือการปลูกพืชโดยใช้สารชีวภาพ ได้แก่การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ฮอร์โมนไข่ สารสกัดชีวภาพ ในการทำการเกษตร และพื้นที่ภายในสวนก็ไม่ยอมปล่อยให้ให้เปล่าประโยชน์ ในน้ำก็จะเลี้ยงปลาหลายชนิดและในสวนก็มีการศึกษาการปลูกไม้ผล โดยอาจารย์ประวิทย์จะปลูกเองทุกต้น ขยายพันธุ์เอง และดูแลเอาใจใส่ ส่วนผลไม้ที่ขึ้นชื่อนั้นก็คือ ส้มโอพันธุ์ขาวหอมเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่หายไปแต่อาจารย์ก็นำพันธุ์มาขยายไว้ มะขามเทศ ฝรั่งฯลฯอีกมากมายที่อาจารย์ประวิทย์ได้ปลูกไว้ที่สวนด้วย

ชื่อ:  sb_Fish2.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  50.2 กิโลไบต์
เทคนิคการทำอาหารปลา
การทำอาหารปลา ทางที่มงานร่วมด้วยช่วยกันหลายๆจังหวัดคงได้เคยนำเสนอกันไปแล้ว แต่วันนี้ทีมงานร่วมด้วยช่วยกันจังหวัดสระบุรีได้ไปบุกบ้านสวนของคุณประวิทย์ อรรถวิเวก เกษตรกรผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำสวนผสมผสานจากการรับราชการผันตัวมาเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัว ได้ลงมือทำเองโดยการพัฒนาผืนที่ที่มีอยู่ให้เป็นเงินและแลกกับหยดเหงื่อทุกหยดการทำอาหารปลาของคุรประวิทย์ จะใช้กับปลาที่เลี้ยงไว้ ก็คือปลาจาระเม็ด ปลาดุก ปลานิล
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
1.ฟางข้าว50กิโลกรัม
2.มูลไก่50กิโลกรัม
3.EM หรือน้ำหมักชีวภาพสูตรใดก็ได้ 1ลิตร
4.กากน้ำตาล10กิโลกรัม
5.น้ำ 10ลิตร
วิธีการทำ
จะนำฟางหั่นให้เป็นท่อนเล็กๆแล้วก็นำมาคลุกเคล้ากับมูลไก่แล้วพักไว้ หันมาผสมEM กับน้ำแล้วก็เทกากน้ำตาลลงไปผสมค้นให้เข้ากัน แล้วนำไปราดในฟางที่คลุกกับมูลไก่แล้ว คลุกให้เข้ากัน เสร็จแล้วแบ่งออกเป็น4กองเท่าๆกัน แล้วนำไปวางไว้ตามมุมบ่อปลา เพื่อให้เป็นอาหารปลาให้ปลามากินเอง และแนะนำให้ทำในที่ร่มเพื่อรักษาจุลินทรีย์ด้วย

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

หนุนเลี้ยงตัวเงินตัวทอง สัตว์ ศก.ไทยอีก 2 ปีข้างหน้า

 หนุนเลี้ยงตัวเงินตัวทอง สัตว์ ศก.ไทยอีก 2 ปีข้างหน้า

สัตว์ กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องหนัง มั่นใจตัวเงินตัวทองเป็นสัตว์เศรษฐกิจไทยได้ หลังวิจัยพบโอกาสแปรรูปหนังเป็นผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม ราคาถูก
กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องหนังมองโอกาสตัวเงินตัวทองจะเป็นสัตว์เศรษฐกิจของไทย ตัวต่อไป หลังวิจัยพบโอกาสสูงนำหนังแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหตุมีความสวยงามและราคาถูก หวังจะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยต้องแก้ระเบียบหลังถูกกำหนดให้เป็นสัตว์สงวน


นายสมเกียรติ พรรณาราย ประธานกลุ่มคลัสเตอร์เครื่องหนัง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ประมาณ 25 ราย เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทดลองเลี้ยงตัวเงินตัวทอง ให้เป็นสัตว์ทางการค้าเชิงพาณิชย์เพื่อวิจัยนำหนังมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เครื่องหนังต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีศักยภาพสูงและมีลายหนังที่สวยงาม โดยคาดหวังว่าจะพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า

“ขณะนี้กรมป่าไม้กำหนดให้ตัวเงินตัวทองเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือสัตว์ สงวนการฆ่านำหนังมาแปรรูปผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ที่จะต้องเลี้ยงขยายพันธุ์ได้ง่ายๆ ด้วยการให้อาหารเม็ด โดยมีความเป็นไปได้สูงมากที่สัตว์ดังกล่าวจะเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวต่อไปของ ไทยเพราะมีจำนวนมากกว่าควายหลายเท่าตัวและเลี้ยงง่าย” นายสมเกียรติกล่าว

อย่างไรก็ตาม ตลาดต่างประเทศจะนิยมลายหนังที่สวยงามและแปลกตาซึ่งพบว่าตัวเงินตัวทองมีลาย ที่สวยไม่แพ้หนังจระเข้ แต่คาดว่าต้นทุนการผลิตจะถูกกว่ามากเมื่อพัฒนาเชิงการตลาดอาจกำหนดใช้ภาษา ที่สวยงามแทนที่จะเป็นหนังจากตัวเงินตัวทองที่ตลาดไทยจะไม่ต้อนรับ ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไทยประสบปัญหาขาดแคลนหนังดิบต้องนำเข้าจาก ต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะหนังโคที่ขณะนี้ได้พยายามส่งเสริมการเลี้ยงโคให้มากขึ้น

26 มิถุนายน 2555

แหล่งที่มาของข้อมูล : "หนุนเลี้ยงตัวเงินตัวทอง สัตว์ ศก.ไทยอีก 2 ปีข้างหน้า.". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.manager.co.th/Business/Vi...=9550000078362
ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม 

การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์

ชื่อ:  1685_1.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  48.9 กิโลไบต์
การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์
การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์
• เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด โดยบ่อที่นิยมจะมาขนาด 3 x 4 เมตร หรือใหญ่กว่า
• สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ ควบคุมโรครวมถึงการจับแบบทยอยจับได้
• บ่อส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ที่เป็นพื้นบกสำหรับกบอาศัยอย่างน้อย 70% ของบ่อ ที่เหลือเป็นพื้นน้ำ
ชื่อ:  1685_3.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  41.4 กิโลไบต์
ลักษณะบ่อปูนซีเมนต์เลี้ยงกบ
• โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อ
• บ่อเลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลือง มีหลายขนาด เช่น 3×4 , 3.2×4 , 4×4 , 4×5 , 4×6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
• บ่อเลี้ยงจะมีการเทคานและใช้อิฐบล็อค 4 – 6 ก้อนก่อเป็นผนัง พื้นบ่อมีการเทปูนหนาพอสมควรเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30- 50 เซนติเมตร
• บ่อกบควรตั้งอยู่กลางแจ้ง มีแสลนกรองแสงทำเป็นหลังคาและกันแดด รวมทั้งมีตาข่ายกันนกหรือศัตรูที่จะเข้ามาจับกินกบ
• มีการวางระบบน้ำ โดยเดินท่อพีวีซีไปยังทุกบ่อ เพื่อเติมน้ำในขณะที่เปลี่ยนน้ำออกจากบ่อ

ชื่อ:  1685_2.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  53.8 กิโลไบต์
น้ำสำหรับใช้เลี้ยงกบ
• ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็นกรดด่างของน้ำ (พีเอชประมาณ 7 จะดี) ความกระด้าง ค่าอัลคาไลนิตี้ ปริมาณแอมโมเนีย แร่ธาตุในน้ำ ฯลฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่
• หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้ง หนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
• น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมี ที่ใช้ในการเกษตร ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน
• หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้ แต่บางที่มีคุณภาพดีก็นำมาใช้เลี้ยงกบรุ่นๆได้เลยเช่นกัน
ชื่อ:  1685_4.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  36.3 กิโลไบต์
ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่ทุ่งไร่ ทุ่งนาได้ดี
2. อายุการใช้งานของบ่อปูนจะนานและเอนกประสงค์กว่าแบบอื่นๆ
3. เปลี่ยนถ่ายน้ำได้บ่อยๆ และง่าย รวดเร็ว
4. ให้อาหารง่าย ไม่เปลืองอาหารมากนัก
5. ควบคุมดูแลโรคได้ง่ายกว่าแบบอื่นๆ เพราะมองเห็นกบได้ง่ายกว่า
6. เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดทางหนึ่ง
7. สามารถจับกบขายได้ตลอดเวล
ข้อเสีย
1. อันตรายต่อผู้เลี้ยงที่มีอายุมาก เนื่องจากบ่อปูนจะลื่นมากเมื่อขังน้ำไว้นานๆ และมีตะไคร่น้ำเกาะติด ทำให้เสี่ยงต่อการลื่นล้มเป็นอัมพาฒ หรือเป็นลมแดด หัวฟาดจนจมน้ำเสียชีวิตได้
(แนะนำกระชังแบบตั้งบนพื้นดิน เติมน้ำใช้เลี้ยงกบได้ทันที ทั้งประหยัดและปลอดภัยที่สุด)
2. ลงทุนในครั้งแรก สูงกว่าแบบอื่นๆมาก ระยะเวลาคืนทุนนานมาก
3. กบมักจะมีกลิ่นเหม็นอับ หรือมีกลิ่นปูนติดตัวมาด้วย ขาดความเป็นธรรมชาติเล็กน้อย
4. ถ้าทำขอบบ่อไม่เรียบ มักเกิดปัญหาโรคกบเป็นแผล จากการกระโดดชนผนังปูน
5. ถ้าเลิกเลี้ยงและต้องการใช้พื้นที่ไปทำกิจการอื่นๆ ต้องเสียค่าทุบและรื้อถอนค่อนข้างสูง


ขอบคุณข้อมูลจาก : ฟาร์มกบ อบอ๊บฟาร์ม


ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เวลาที่เหมาะสมกับการให้อาหารกบ

เทคนิคการให้อาหารกบและการเลี้ยงดูกบ
ในการเลี้ยงกบนั้นหากเกษตรกรรู้เทคนิคหรือวิธีการจัดการที่ดีมีคุณภาพก็จะทำ ให้เกษตรกรประหยัดต้นทุนในการเลี้ยงกบและการเลี้ยงกบนั้นก็จะได้กำไรอย่าง งามครับ
ชื่อ:  1686_1.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  45.0 กิโลไบต์
เทคนิคการให้อาหารกบ
1.แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำ ให้เสร็จก่อนให้อาหาร เพื่อป้องกันกบกระโดดจนจุกและตาย นอกจากนี้ยังช่วยให้กบสดชื่นและกินอาหารในสภาพที่สะอาดมากขึ้น ลดอาการของโรคท้องอืดได้ด้วย
2.ควรให้อาหารในช่วงเช้าและเย็นที่มีอากาศอบอุ่น หรือมีแสงแดดส่งค่อนข้างร้อนๆ เพราะกบจะกินอาหารดี และย่อยอาหารได้ดีมาก ป้องกันโรคท้องอืดได้
3.ถ้าวันใดมีฝนตกหนักๆและอากาศเย็นกว่าปกติ ไม่ควรให้อาหารกบ หรือให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
4.ในการเปลี่ยนเบอร์อาหาร อย่าเปลี่ยนทันที ให้ผสมระหว่างอาหารเบอร์เก่ากับเบอร์ถัดไป
ชื่อ:  1686_2.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  48.3 กิโลไบต์
เทคนิคการเลี้ยงกบทั่วๆไป
1.ถ้าใช้เป็นน้ำคลองที่มีการไหลและหมุนเวียนตลอด จะนำมาเลี้ยงกบได้ดีที่สุด กบแข็งแรง ไม่ค่อยมีโรค อัตรารอดสูงกว่า
2.การใช้น้ำบาดาล บางที่นำมาใช้เลี้ยงได้เลย แต่หลายๆที่ยังคงต้องนำมาใส่บ่อพักไว้ก่อน เพื่อตรวจวัดให้ได้คุณภาพที่ดีพอก่อนนำไปใช้
3.น้ำประปา ที่มีคลอลีนไม่มากนัก สามารถนำมาเลี้ยงกบได้ แต่อาจไม่คุ้มค่ามากนัก
4.การใส่กบอย่างหนาแน่น และถ้าน้ำหมุนเวียนดีๆ จะดีกว่าใส่กบจำนวนน้อย เพราะการใส่ให้หนาแน่นกบจะกินอาหารดีและทั่วถึงกว่า(เห็นตัวอื่นๆกิน ก็จะวิ่งมากินตามๆกัน)
5.ผู้ที่เพิ่มเริ่มเลี้ยง แนะนำให้ซื้อลูกพันธุ์กบที่มีตัวโตๆไปทดลองเลี้ยงก่อน เพราะโอกาสรอดจะสูง และแข็งแรงกว่าลูกกบเล็ก
6.ถ้าจะเลี้ยงจริงจัง ในปริมาณมาก แนะนำให้เลี้ยงในบ่อดิน หรือในบ่อปูน หรือในกระชัง จะสะดวกที่สุด
7.ช่วงต้นฤดูฝนใหม่ๆ กบจะเป็นโรคต่างๆได้ง่าย เช่น โรคตาขาว โรคกระแตเวียน โรคปากแดง โรคเป็นแผลพุพอง จึงต้องระวังในการเลี้ยงเป็นพิเศษ และให้ยาตามความเหมาะสม
ชื่อ:  1686_3.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  100.5 กิโลไบต์
เทคนิคการตลาดและการขาย
1.ต้องเลี้ยงกบในปริมาณน้อยๆในช่วงต้นๆฤดูฝน เพราะกบจะมีราคาถูกที่สุด หรือให้พักบ่อเพื่อฆ่าเชื้อโรคในช่วงนี้ไปเลยครับ
2.ควรผลิตกบในแต่ละเดือนตามความต้องการของตลาดเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงให้มากหรือแน่นเต็มพื้นที่
3.ถ้าเป็นช่วงที่กบมีราคาถูกมากๆ ควรแบ่งกบจำนวน 30 – 50% ออกไปขายปลีกตามท้องตลาด หรือตลาดนัดเพราะจะได้ราคาสูงเฉลี่ยที่ 70 บาท/กก. ที่เหลือขายส่งให้พ่อค้าคนกลางจะได้เฉลี่ย 25 – 35 บาท/กก. นั่นหมายความว่าโดยรวมแล้วเรายังขายได้เฉลี่ย 40 – 45 บาท/กก. ซึ่งยังเป็นราคาที่รับได้ ก็ยังมีกำไรเพียงเล็กน้อย แต่จะยังไม่ถึงกับขาดทุน
4.ผู้ที่เลี้ยงน้อยๆควรเข้าร่วมโครงการตรวจโรคฟรี กับฟาร์มกบใหญ่ ในพื้นที่ หรือขอขายร่วมเมื่อมีพ่อค้ามาจับที่ฟาร์มนั้นๆ
ชื่อ:  1686_4.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  72.3 กิโลไบต์
หลักการเลือกซื้อลูกกบ อย่างคุ้มค่าการลงทุน
1.อย่าเสียดายน้ำมันจะเลี้ยงกบทั้งทีต้องไปดูขนาดลูกกบที่ฟาร์มนั้นๆก่อนว่าท่านพอใจหรือไม่ ดีกว่าถูกหลอก หรือได้ของไม่ดีครับ
2.อย่าใช้แค่วิธีโทรคุย แล้วสั่งลูกกบทันที หรือจ่ายเงินมัดจำโดยการโอนเงินล่วงหน้า เพราะอาจถูกหลอกได้ง่ายๆ เรียกกันว่า “เก็บเงินท่านไปก่อน แล้วค่อยวิ่งหาลูกกบจากแหล่งต่างๆมาส่งให้ท่าน ประมาณนี้” จริงๆแล้วเขาอาจไม่ได้เพาะเองครับ ถ้าหาไม่ได้จริงๆค่อยคืนเงินก็มีครับ
3. จงระวังผู้ขายที่ไม่มีที่อยู่ ไม่มีแผนที่เพื่อให้ท่านไปดูลูกกบที่ฟาร์ม ไม่มีเบอร์โทรติดต่อ อะไรประมาณนี้ หรือมีแต่อีเมล เพื่อใช้ติดต่อเท่านั้น จะซื้อลูกพันธุ์ ต้องดูผู้ขายที่มีหลักแหล่งที่แน่นอนนะครับ
4. ผู้ขายบางราย ใช้วิธีทิ้งแค่อีเมล หรือเบอร์โทรเอาไว้ ให้ท่านหลงติดต่อสั่งซื้อ แต่ไม่มีบ่อเพาะพันธุ์จริงๆ แบบนี้เรียกว่า “การวิ่งลูกกบตามที่ลูกค้าสั่ง” โดยจะวิ่งหาจากฟาร์มต่างๆแล้วนัดส่งตามจุดที่ลูกค้าต้องการ แบบนี้อันตรายมากๆ เพราะท่านมักจะได้ลูกกบที่เป็นโรคจากที่ใดบ้างก็ไม่รู้ไปเลี้ยง ท่านอาจะขาดทุนได้ ถ้าเจอผู้ขายแบบนี้
5. ถ้าท่านเลือกได้ อย่าไปซื้อลูกกบจากผู้ที่เน้นเพาะลูกกบขายเท่านั้น แต่ว่าเขาไม่ได้เลี้ยงเอง เพราะกบมักจะโตช้า หรือเป็นโรค เนื่องจากมักจะใช้พ่อแม่พันธุ์กบที่มีสายเลือดชิดกันมาเพาะครับ แต่ก็ไม่ทุกที่นะครับ อันนี้ต้องดูให้ดีๆด้วยตัวท่านเองครับ
6. เลือกฟาร์มที่ใกล้ๆบ้าน เดินทางสะดวก มีแผนที่ เพราะยิ่งขนย้ายง่าย รวดเร็ว กบจะไม่อ่อนแอ ไม่เพลีย ตายน้อยกว่า 5%
7. ควรไปเจอผู้ที่เลี้ยงตัวจริง จะได้คุยเรื่องวิธีการเลี้ยงอย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทาง ลดความเสี่ยง
8. เลือกผู้ขายที่คัดขนาดลูกกบไว้แล้ว ไม่ใหญ่หรือเล็กกว่ากัน นำมาเลี้ยงได้ทันที

** ถ้าท่านใดคิดว่าไม่สะดวก หรือทำไม่ได้ ตามข้อ 1 – 5 ด้านบน อาจจะขาดทุนได้ง่ายๆเลยครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก : ฟาร์มกบ อบอ๊บฟาร์ม


ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เทคนิคการให้อาหารกบ

ก่อนให้อาหารกบควรเปลี่ยนถ่ายน้ำให้เสร็จก่อนป้องกันกบกระโดดจนจุกและตาย ช่วยให้กบสดชื่นกินอาหารในที่สะอาด ลดอาการของโรคท้องอืดได้ด้วย

เทคนิคการให้อาหารกบ
รวบรวมเทคนิคต่างๆในการให้อาหารกบ

ชื่อ:  1748_1.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  85.9 กิโลไบต์
เทคนิคการให้อาหารกบ
1. แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำ ให้เสร็จก่อนให้อาหาร เพื่อป้องกันกบกระโดดจนจุกและตาย นอกจากนี้ยังช่วยให้กบสดชื่นและกินอาหารในสภาพที่สะอาดมากขึ้น ลดอาการของโรคท้องอืดได้ด้วย
2. ควรให้อาหารในช่วงเช้าและเย็นที่มีอากาศอบอุ่น หรือมีแสงแดดส่งค่อนข้างร้อนๆ เพราะกบจะกินอาหารดี และย่อยอาหารได้ดีมาก ป้องกันโรคท้องอืดได้
3. ถ้าวันใดมีฝนตกหนักๆและอากาศเย็นกว่าปกติ ไม่ควรให้อาหารกบ หรือให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
4. ในการเปลี่ยนเบอร์อาหาร อย่าเปลี่ยนทันที ให้ผสมระหว่างอาหารเบอร์เก่ากับเบอร์ถัดไป


ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.obobfarm.com/FrogFarm/?p=1

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

การป้องกันโรคกบแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน

การเลี้ยงกบในบ่อปูนควรจะล้างบ่อด้วยด่างทับทิมอัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ลิตร ทุกครั้งที่มีการล้างบ่อ
การป้องกันโรคกบแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
จากประสบการณ์ในการเลี้ยงกบนาหลากหลายรูปแบบ เกษตรกรได้พบปัญหาเรื่องโรคกบ และได้ค้นหาวิธีการป้องกันแบบภูมิปัญญาชาวบ้านหลายวิธีดังนี้


ชื่อ:  1881_1.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  98.8 กิโลไบต์
-ในกรณีที่เลี้ยงด้วยบ่อปูนควรจะล้างบ่อด้วยด่างทับทิมอัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ลิตร ทุกครั้งที่มีการล้างบ่อ
-ผสมอาหารด้วยน้ำหมักชีวภาพก่อนที่จะนำมาให้กบกิน ด้วยการผสมน้ำหมักชีวภาพอัตรา 2 ช้อนโต๊ะ ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม
-เมื่อกบมีอาการท้องอืดหรือตัวเหลือง ซึม ให้ใช้ขิง ข่า พะลัย และฟ้าทลายโจร ต้มให้น้ำมีสีชาแล้วนำมาผสมกับอาหารกบป้อน หรืออาจจะฉีดด้วยกระบอกฉีดยา เข้าทางปากตัวละ 1 ซีซี
-ถ้ากบเป็นแผลเปื่อยให้ใช้ขมิ้นผงและใบน้อยหน่าตากแห้ง (หรือเปลือกมังคุดตากแห้ง) นำทั้ง 2 อย่าง มาบดให้ละเอียดและผสมปูนแดงลงไปเล็กน้อย ทาที่บริเวณแผล ที่สำคัญเกษตรกรผู้เลี้ยง จะต้องแยกกบที่ป่วยออกไว้ต่างหากอย่างน้อยเป็นเวลา 1 วัน โดยนำกบที่เป็นโรค มาใส่ถุงพลาสติกเจาะช่องระบายอากาศและไม่ให้ถูกน้ำ
-กรณีที่เลี้ยงกบในบ่อดินหรือบ่อปูนควรจะนำเกลือแกงผสมน้ำใส่ลงไปในบ่อ เลี้ยงกบด้วย เพื่อฆ่าเชื้อราหรือเชื้อโรคอื่นๆ อัตราการใส่ถ้าบ่อเลี้ยงมีขนาด 4x4 เมตร ให้ใส่น้ำสูง 5 เซนติเมตร และใส่เกลือแกงลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ


ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

สูตรเพาะไรแดงสูตรใหม่ ไม่ต้องมีพ่อแม่พันธุ์ไรครับ 3

ชื่อ:  dscf6052.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  48.9 กิโลไบต์
สูตรเพาะไรแดงสูตรใหม่ ไม่ต้องมีพ่อแม่พันธุ์ไรครับ
สูตรเก่าที่เคยลงไป ตอนนี้มีดีกว่านะครับ ไม่ต้องยุ่งยากมากครับ เอารูปมาก่อนครับให้ดูว่าพอได้มั๊ย
ครับ อยู่ระหว่างการเรียบเรียงในการเผยแพร่ครับ ขอเป็นวันอังคารนะครับ ดูรูปไปก่อนนะครับ ขอบอกว่าง่ายมากครับผม
ชื่อ:  dscf6053y.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  34.0 กิโลไบต์
ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรครับ แต่มาดูใกล้ๆกันครับ
ชื่อ:  dscf6054q.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  33.1 กิโลไบต์

ชื่อ:  dscf6055.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  42.7 กิโลไบต์
จะเห็นว่ามี ไรแดงตัวใหญ่ๆนะครับ อ้วนๆครับ ที่ผมนำเสนอไม่ได้ครับ ถ่ายรูปไม่ เก่ง กล้องก็คุณภาพไม่ดีเท่าไหร่ครับ แต่ก็มีอยู่เยอะพอควรครับ แถมไร ฝุ่นอีกเพียบครับ อันนี้คือที่ช้อนไปเมื่อเช้าแล้วรอบนึงนะครับ อันนี้มา ถ่ายตอนเย็นครับ
มาอีกกะละมังนึงครับ กะละมังเล็กกว่า
ชื่อ:  dscf6056.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  35.2 กิโลไบต์
อันนี้ภาพมุมกว้างครับ ไปดูใกล้ๆกันอีกครับ
ชื่อ:  dscf6057.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  34.3 กิโลไบต์

ชื่อ:  dscf6058il.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  28.0 กิโลไบต์
เหมือนเดิมครับ อันนี้ก็อ้วนๆครับ ช้อนไปเมื่อเช้านี้แล้วเหมือนกันครับ
ไปดูอีกกะละมังครับ จริงๆมี หลายกะละมังครับ แต่เอามาให้ดูตัวอยางครับ เพราะมันต้องหมุนๆกันไปครับ มีเยอะดีครับ ลูก ปลามีกินอิ่มทุกวันครับ
ชื่อ:  dscf6059u.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  30.6 กิโลไบต์
ถึงมันจะแอบหลังใบผุกบุ้งผมก็มองเห็นครับ
ยังไงขอความกรุณาทุกท่านนะ ครับที่สนใจนะครับ ช่วยดันกระทู้นี้เยอะๆนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการค้น หาอะไรดีดีมาให้กันนะครับ ช่วยดันเพื่อเผยแพร่ด้วยครับ สำหรับท่านที่มี ปัญหาในการอนุบาลลูกปลานะครับ
เอาสูตรคร่าวๆไปก่อนนะครับ ยังไม่ได้เรียบเรียง
อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้
1. เตรียมกะละมัง
2. เอาเรนนะครับ หมายถึงดินในท้องร่องไม่ใช่โคลนนะครับ มันจะเหนียวคล้ายดินเหนียวนะครับ
3. น้ำประปาหรือน้ำสะอาดนะครับ
4. อามิอามิ หรือกากน้ำตาลแล้วแต่หาได้ครับแต่ผมใช้อามิอามิครับ
5. ผักบุ้งสดครับ ควรเป็นผักบุ้งน้ำครับ มันดีกว่าผักบุ้งที่ขึ้นบนดินครับ
6. ฝาปิดกะละมัง
7. อ๊อกซิเจน
ขึ้นตอนครับ
1. เอาดินใส่กะละมังสัก 1ส่วน 5 ของความสูงภาชนะ ให้เป็นก้อนเล็กที่สุดนะครับ กะกะเอา
2. น้ำใส่ไป สัก 3 ส่วน 4 ของความสูง
3. ใส่อามิอามิลงไปสัก 2 ช้อนกินข้าว
4. กวนให้เข้ากัน
5. ใส่ผักบุ้งไปไม่ต้องมากประมาณรูปครับ พอให้ลูกไรหลบแดดได้ครับ
6. สถานที่ที่วางควรโดนแดดเล็กน้อยไม่ต้องจัดครับหรือถ้าจัดให้เอาฝาปิดไว้ ครึ่งหนึ่ง หรือถ้าไม่มีแดดก็ได้ครับ แต่ควรมีแสงผ่านได้และไม่ควรเอาฝา ปิดไว้เปิดรับลมแสงได้เต็มที่ครับ
ในกรณีโดนแดดแรงๆ อาจเป็นน้ำเขียวได้เลยครับ
ก็เอาน้ำเขียวไปเร่งกะละมัง อื่นๆได้อีกครับ ผมเองก็เอาไปใส่กะละมังที่น้ำเป็นสีส้มครับเร่งมันได้อีกครับเพราะน้ำเขียว เป็นอาหารของไรแดงอยู่แล้วครับ
7. ปล่อยทิ้งไว้ สัก 2-3 วันถ้ามีฝ้าให้เอาอ๊อกซิเจนมาเป่าไว้ให้แรงสัก 1ส่วน3 ของภาชนะ คือให้มันตีน้ำไว้นะครับ
8. พอฝ้าน้ำหมดไป ให้สังเกตุดูว่าจะมีไรแดงเริ่มเกิดขึ้นครับ ทิ้งไว้สักวันก็ใส่อามิอามิอีกสัก 1 ช้อนครับ แล้วไม่ต้องกวน
9. สัก 2 วันก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้ครับ
10. บาง ครั้งก็อาจเอาอ๊อกออกได้ถ้าไม่มีฝ้าน้ำครับ ถ้ามีก็เอามาเป่าต่อครับ และ ถ้าในกรณีเห็นลูกไรแล้วก็เป่าวันเว้นวันก็ดีครับ เพราะถ้าเป่าแรงเกินไป หรือนานเกินไปอาจทำให้ไรหมดแรงได้ครับ
11. พอเก็บเกี่ยวไรแดงแล้วก็ใส่อามิอามิสัก 1-2 ช้อนครับ ไม่ต้องกวนนะครับ
12. ฝาปิดไว้ปิดกันแดด ไม่ให้จัดมากอย่างน้อยก็ปิดสัก ครึ่งนึง ก้นภาชนะอย่าให้ร้อนจัดครับควรหาอะไรหนุนไว้ครับ ถ้าฝนตกปิดไม่ ต้องหมดครับปิดไว้สัก 5ส่วน 6 ให้โดนน้ำฝนได้เล็กน้อย
หมายเหตุ

1. หากทำไปนานๆอาจเกิด โรติเฟอร์ได้ครับ
2. อาจมีไรหินเกิดขึ้นได้ครับ แต่ไม่เยอะ
3. ถ้าสัดส่วนดี 2 อย่างแรกไม่ค่อยเกิดครับแน่นอน
4. ถ้าใส่อามิอามิเยอะไปอาจเกิดหนอนแดงเยอะครับ หรืออาจจะเสียไปเลย

ข้อดี
1. ไรแดงที่ได้ตัวอ้วนมากๆครับ
2. ได้ผลผลิตที่เยอะกว่า น้ำเขียวครับ สูตรที่ผมให้ไปอันแรกครับ
3. การต่อเนื่องของผลผลิตดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาต่อน้ำเขียว
4. ง่ายครับ
5. ถ้าทำหลายกะละมังหมุนกันไปก็จะเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องทุกวันครับ


ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เทคนิคการทำน้ำหมักสมุนไพรเพื่อรักษาโรคในสัตว์

นายสงบ หาญกล้า เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพการเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2552 บ้านดอนตะหนิน ตำบลหนองค่าย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เกษตรกรตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการทำเกษตรแบบผสมผสาน และการเลี้ยงสัตว์ที่ดี มีคุณภาพ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันจังหวัดนครราชสีมา ช่วงรายการร่วมด้วยช่วยเกษตรกร ในวันที่ 20 มิถุนายน 2555 เวลา 14.45 น. เรื่องเทคนิคการทำน้ำหมักสมุนไพรเพื่อรักษาโรคในสัตว์ไว้ดังนี้
ชื่อ:  bio-fermentation.JPG
ครั้ง: 2
ขนาด:  79.3 กิโลไบต์
วัตถุดิบการทำน้ำหมักสมุนไพร ดังนี้
1.หอยเชอรี่ จำนวน 3 กิโลกรัม
2.ตะไคร้หอม จำนวน ½ กิโลกรัม
3.ลูกยอสุก จำนวน ½ กิโลกรัม
4.บอระเพ็ด จำนวน 2 ขีด
5.ต้นดาวเรือง จำนวน 5 ขีด
6.เกลือ จำนวน 1 กำมือ
7.พด.2 จำนวน 1 ซอง
8.กากน้ำตาล จำนวน 1 กิโลกรัม
9.น้ำเปล่า จำนวน 10 ลิตร
10.ถังหมักขนาด 100 ลิตร จำนวน 1 ใบ

วิธีการทำ
นำหอยเชอรี่ จำนวน 3 กิโลกรัม ตะไคร้หอม จำนวน ½ กิโลกรัม ลูกยอสุก จำนวน ½ กิโลกรัม และบอระเพ็ด จำนวน 2 ขีด มาทุบพอให้แตก แล้วเทลงในถังหมัก จากนั้นนำต้นดาวเรือง จำนวน 5 ขีด มาหั่นและเทลงในถังหมักเช่นกัน หลังจากนั้น นำเกลือ จำนวน 1 กำมือ พด.2 จำนวน 1 ซอง กากน้ำตาล จำนวน 1 กิโลกรัม และน้ำเปล่า 10 ลิตร ผสมละลายทั้งหมดให้เข้ากันแล้วเทลงในถังหมัก คนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นปิดฝาให้สนิท หมักทิ้งไว้จำนวน 3 เดือน จึงสามารถนำไปให้สัตว์เลี้ยงกินได้

การนำไปใช้
หลังจากที่หมักน้ำหมักสมุนไพรทิ้งไว้ครบ 3 เดือนแล้ว ให้กรองเอาน้ำหมักสมุนไพรในปริมาณ 1 แก้วต่อน้ำสะอาด 10 ลิตร ผสมกันแล้วนำไปตั้งทิ้งไว้ให้ไก่ หมู หรือเป็ดกินเป็นประจำทุกๆวัน เพื่อช่วยรักษาโรคในไก่ หมู หรือเป็ด และสามารถใช้แทนวัคซีน เพื่อป้องกันโรคระบาดในสัตว์ได้ ทำให้สัตว์มีสุขภาพดี

ประโยชน์
1.หอยเชอรี่ สรรพคุณ มีโปรตีน ช่วยให้สัตว์เลี้ยงเจริญเติบโตดี
2.ตะไคร้หอม สรรพคุณ มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ และช่วยลดจุลินทรีย์ที่ก่อโรค
3.ลูกยอสุก สรรพคุณ ช่วยบำรุงร่างกายให้กับสัตว์เลี้ยง
4.บอระเพ็ด และต้นดาวเรือง สรรพคุณ ช่วยขับถ่ายพยาธิ
5.เกลือ สรรพคุณ ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำหมัก
6.พด.2 สรรพคุณ ช่วยย่อยสลาย 




ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

การกำจัดเห็บปลากะพง

วิธีกำจัดเห็บสำหรับปลากะพงที่เลี้ยงในกระชัง ใช้ผ้าไนล่อนห่อสับปะรดชิ้นเล็กๆ 1 กก. โดยผูกหินถ่วงไว้ แช่น้ำ 1 ถุง/กระชัง เพียง 3-4 วัน

ชื่อ:  kapong.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  49.8 กิโลไบต์
จากการ สัมภาษณ์ คุณปัญจมาพร ทองเกลี้ยง เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงในกระชัง พื้นที่ตำบลบางไทร อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2555 เวลา 13.20 น. เกี่ยวกับการป้องกันและกำจัดเห็บปลาที่อาจจะเกิดขึ้นกับปลากะพงในกระชัง และสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงได้

คุณ ปัญจมาพร ทองเกลี้ยง กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่ในพื้นที่ตำบลบางไทร เกษตรกรจะเลี้ยงปลากะพงในกระชังจำนวนมาก และมักจะประสบปัญหา เกี่ยวกับเห็บปลาที่เกิดขึ้นกับปลากะพงในกระชังทำให้ได้รับความเสียหายต่อ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงเป็นอย่างมาก คุณปัญจมาพร ทองเกลี้ยง แจ้งว่า เกษตรกรสามารถสังเกตการณ์ระบาดของเห็บปลาได้จากปลากะพงในกระชังจะไม่ค่อยกิน อาหาร และจะค่อย ๆ ลอยตายในที่สุด เมื่อนำปลาขึ้นมาดูจะพบเห็บปลาติดอยู่ที่เหงือกของปลากะพง จึงได้แนะนำวิธีการกำจัดเห็บปลาแบบง่าย ๆ และได้ผลโดยการใช้เปลือกสับปะรดมาฝากกัน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. นำเปลือกสับปะรดมาสับเป็นชิ้นเล็ก
2. นำเปลือกสับปะรดที่ได้มา ห่อด้วยผ้ามุ้งหรือผ้าในล่อน ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อห่อ
3. นำไปแช่ในกระชัง โดยใช้ปริมาณ 1 ห่อต่อกระชัง และผูกติดด้วยก้อนหิน 1 ก้อน เพื่อถ่วงให้อยู่ใต้กระชัง
4. แช่ไว้จนกว่าเปลือกสับปะรดจะสลายหมด (ประมาณ 3-4 วัน)
5. หลังจากแช่เสร็จแล้ว จะสังเกตพบว่าเห็บปลาจะหายไป และไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปลากะพง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถจับปลาขายได้ตามระยะเวลาของกระชังนั้น ๆ

คุณ ปัญจมาพร ทองเกลี้ยง ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เกษตรกรสามารถใช้เปลือกสับประรดป้องกันเห็บปลาโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาเห็บ ปลาเกิดขึ้น แต่การป้องกันดังกล่าวนี้เกษตรกรควรปฏิบัติในช่วงที่ปลากระพงอายุตั้งแต่ 3-4 เดือนขึ้นไป ถึงจะนำวิธีการนี้ไปใช้ได้ ถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081-4767190
แหล่งที่มาของข้อมูล : ปัญจมาพร ทองเกลี้ยง. เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงในกระชังจังหวัดสุราษฎร์ธานี. สัมภาษณ์, 23 มิถุนายน 2555.

เรียบเรียงโดย : นงพงา ไกรวิลาศ. เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันจังหวัดชุมพร.
 

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เทคนิคการเลี้ยงปลากระชังแบบผสมผสาน ลดปัญหาการเกิดโรค

ชื่อ:  ปลากระชัง.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  59.9 กิโลไบต์
จังหวัดชัยนาทเป็นแหล่งกสิกรรมที่เต็มไปด้วยความอุดม สมบูรณ์พร้อมไปด้วยทรัพยากรแร่ธาตุ ทรัพยากรแหล่งน้ำที่ไหลผ่านตัวจังหวัด นั่นคือ แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งในปัจจุบันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาใช้ประโยชน์ในเรื่องของการทำการเกษตร เช่น การทำนา การทำสวน ทำไร่ เป็นหลัก จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่งทำให้เกษตรกรจังหวัดชัยนาทนั้นมีทางเลือกที่จะประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลา ในกระชัง

คุณ ปรีชา ชะเอม หรือ “ปรีชาฟาร์ม” ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "ร่วมด้วยช่วยเกษตรกร" ทางสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ชัยนาท FM 105.50 MHz เมื่อวันที่ 22 มิย.55 ช่วงเวลา 14.15น. ถึงวิธีการเลี้ยงปลากระชังต้นทุนต่ำและมีวิธีการเลี้ยงแตกต่างไปจากเพื่อน เกษตรกรทั่วๆไป คุณปรีชาเล่าว่า จากประสบการณ์การเลี้ยงปลากระชังของเกษตรกรทั่วไปเมื่อเลี้ยงปลาไปได้ระยะ หนึ่ง ก็ต้องพบกับปัญหาของโรคที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี เพราะเนื่องจากพื้นที่ของกระชังปลาที่ใช้นั้นเป็นพื้นที่เดิมๆ กระชังเดิมๆ เชื้อโรคมันก็ไม่ไปไหน พอเราเอาปลามาลง โรคเหล่านั้นก็พร้อมที่จะกลับมาทำลายทันที

ปัญหาการเกิดโรคในการเลี้ยงปลากระชังในพื้นที่เดิม คุณปรีชาได้มีเทคนิคในการเลี้ยงปลาแบบผสมผสานซึ่งสามารถแก้ปัญหาการเกิดโรค ได้ซึ่งจะแบ่งประเภทของปลาเลี้ยงในบริเวณเดียวกัน โดยจะมีการเตรียมกระชังใช้ขนาดกระชัง กว้าง 5 เมตร ยาว 5 เมตร ลึก 3 เมตร ซึ่งมีความเหมาะสมในการเลี้ยงปลามากที่สุด ประเภทของปลาที่ใช้เลี้ยง ปลากด 10 กระชัง ปลาทับทิม 4 กระชัง ปลากดอเมริกัน 2 กระชัง และส่วนที่เหลือก็จะใช้เลี้ยงปลาพื้นบ้านที่มาเกาะบริเวณขอบกระชัง

การเลี้ยงผสมผสานนั้นสามารถช่วยลดปัญหาของโรคที่จะเกิดขึ้นได้อีกทางหนึ่ง แต่ก็ยังเกิดโรคอยู่ ซึ่งคุณปรีชาเองจะไม่รักษาแต่จะเน้นป้องกันแทน การป้องกันของเขานั้นจะใช้ด่างทับทิมใส่ลงไปในขวดน้ำ แล้วนำไปหย่อนลงในน้ำเหนือกระชัง ด่างทับทิมก็จะค่อยละลาย ซึ่งจะสามารถช่วยป้องกันเห็บ พยาธิภายนอก หรืออีกแนวทางก็เอาเกลือแกงไปห้อยไว้ในลักษณะเดียวกันก็ได้

เทคนิคอีกอย่างที่แตกต่างนั้นก็คือการทำร่มให้กับปลาทุกกระชัง โดยการกางซาแรน พอปลามีร่ม หว่านอาหารให้ไปตอนไหนก็ขึ้นมากินตลอดทั้งวัน ทำให้ปลาโตเร็ว ซึ่งสามารถช่วยลดระยะเวลาในการเลี้ยง ซึ่งแต่ก่อนเคยเลี้ยง 120 วัน ปัจจุบันเลี้ยงเพียง 90-100 วัน ก็สามารถจับขายได้

แหล่งที่มาของข้อมูล : ปรีชา ชะเอม. สัมภาษณ์, 20 มิถุนายน 2555.

เรียบเรียงโดย : ประสงค์ ภูพานใหญ่ เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ชัยนาท
 

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เทคนิคการหัดให้ลูกกบกินอาหารเอง

ชื่อ:  456.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  34.5 กิโลไบต์
จากการลงพื้นที่และพูดคุยกับคุณลุงจรวย มาแก้ว ซึ่งเป็นประธานกรรมการศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านในไร่ /วิทยากรชุมชน ในวันที่ 30 มิถุนายน 2555 เกี่ยวกับการฝึกหัดให้ลูกกบกินอาหารเองตามธรรมชาติ ซึ่งอยู่ที่บ้านในไร่ หมู่ที่ 7 ตำบลลานสกา อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราชคุณลุงจรวย มาแก้ว ได้พูดถึงวิถีชีวิตของชาวบ้าน หมู่ที่ 7 บ้านในไร่ มีความเป็นอยู่แบบสังคมเครือญาติพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และอาชีพหลักของชาวบ้านที่นี้ คือ สวนสมรม (ผสมผสาน)ทำไร่ สวนยางพารา ปลูกผัก เลี้ยงกบ เลี้ยงปลา และอาหารการกินของชาวอำเภอลานสกา จึงเรียบง่าย เพราะทำเองกินเอง สุขภาพก็ดีเอง วันนี้ คุณลุงจรวย มาแก้ว จึงยกตัวอย่างองค์ความรู้ ให้กับพี่น้องเกษตรที่กำลังเลี้ยงกบระยะลูกกบ ตามเศรษฐกิจพอเพียง แบบฉบับชาวบ้านมาฝาก ต้องฝึกหัดให้ลูกกบให้กินอาหารสังเคราะห์ในช่วงแรกก่อน เนื่องจากถ้าให้ลูกกบกินอาหารธรรมชาติตั้งแต่เริ่มต้น อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในกรณีที่มีอาหารธรรมชาติไม่พอเพียง ดังนั้นจึงควรฝึกให้กินอาหารสังเคราะห์ให้เป็นก่อน
การฝึกให้ลูกกบกินอาหาร

1. การให้อาหารเสริมจากธรรมชาติ เช่นปลวก ไส้เดือน จิ้งหรีด หรือหนอนนก จากที่เราสามารถเพาะเลี้ยงได้เอง ควรฝึกเริ่มตั้งแต่ระยะที่ลูกอ๊อดหางหดหมดมีขา 4 ขาเจริญครบสมบูรณ์ เรียกระยะเริ่มขึ้นกระดาน ให้อาหารสังเคราะห์สำเร็จรูปชนิดเม็ดเล็กพิเศษใช้เลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาดุก เล็ก หรือปลาสดบดละเอียดผสมรำที่เกษตรกรผลิตขึ้นเอง 3 - 5 เปอร์เซ็นต์/นํ้าหนักตัว 1 กิโลกรัม มีโปรตีนไม่ตํ่ากว่า 30-35 เปอร์เซ็นต์

2. วิธีการฝึกให้ลูกกบกินอาหารทำได้หลายวิธี คือ ใส่อาหารในภาชนะหรือบนจานแล้ววางปริ่มนํ้า หรือโรยอาหารเม็ดลงในนํ้า ถ้าโรยอาหารลงในนํ้าต้องโรยในบริเวณที่ลูกกบสามารถนั่งได้และหัวไม่จมนํ้า ซึ่งทั้งสองวิธีนี้สามารถใช้ได้ในกบทุกพันธุ์ เท่านี้ลูกกบที่เลี้ยงก็สามารถกินอาหารได้เอง และเพิ่มอัตราการรอดของลูกกบอีกด้วย

การคัดเลือกลูกกบ มาเลี้ยงก็เหมือนกัน นับว่าเป็นสิ่งสาคัญอย่างหนึ่ง เพราะถ้าสามารถดูว่าที่จับมานั้นเป็นลูกกบหรือลูกเขียดแล้วปัญหานี้จะหมดไป บางท่านจับลูกเขียดมาเลี้ยงไว้ก็ไม่โต ลูกเขียดก็คือเขียด ถ้าเป็นกบก็จะเป็นกบนั้นเอง มีข้อสังเกตโดยให้จับกบหงายท้องแล้วดูที่ใต้คาง ถ้าเป็นกบจะมีลายริ้วสีดำ ผิวของลูกกบจะมีสีคล้ำกว่าลูกเขียด สาหรับลูกเขียดใต้คางจะเป็นสีขาวธรรมดา ลูกกบจะมีมากในช่วงฤดูฝนเหมาะที่จะจับมาเลี้ยง.

ประโยชน์ที่ได้รับ

-เป็นการฝึกหัดให้ลูกกบกินอาหารเอง
-เพิ่มอัตราการรอดของลูกกบ
-ประหยัดอาหารและยังช่วยให้ลูกกบโตเร็ว
แหล่งที่มาของข้อมูล : จรวย มาแก้ว. ประธานกรรมการศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านในไร่ สัมภาษณ์, 30 มิถุนายน 2555.
เรียบเรียงโดย : นงลักษณ์ สุวรรณพันธ์ จนท. Farmer Info สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช
 

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เทคนิคการป้องกันการกัดกินขนในเป็ดเนื้อบาบารี่

ชื่อ:  2343_1.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  249.0 กิโลไบต์
ปัจจุบันเกษตรกรมีความสนใจในการเลี้ยงเป็ดเนื้อบาบารี่เพิ่มสูงขึ้น เพราะสามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงที่สั้นและตลาดมีความต้องการสูง เพราะคุณภาพเนื้อที่มากและดีเหมาะแก่การนำไปประกอบอาหารเพื่อการบริโภค แต่เกษตรกรรายใหม่ก็ต้องพบกับปัญหามากมายในการเลี้ยงเป็ดเนื้อบาบารี่ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจทำให้บางรายถึงกับขาดทุน ดังนั้นในวันที่ 21 มิถุนายน 2555 เวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันจังหวัด จ.จันทบุรีจึงลงพื้นที่ไปพบกับคุณสนิท ชูเวช เกษตรกรหมู่ 8 ตำบลปากน้ำ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เกษตรกรผู้มีความรู้ความสามารถในการเลี้ยงเป็ดบาบารี่มายาวนาน คุณสนิท ชูเวช จึงได้แนะนำเทคนิคการป้องกันเป็ดเนื้อกัดกินขนกันเองให้เจ้าหน้าที่สถานี วิทยุร่วมด้วยช่วยกันจังหวัด จ.จันทบุรี ไปเผยแพร่เพื่อแก้ปัญหาเป็ดกัดกินขนกันเองซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ไม่สามารถ ขายเป็ดเนื้อที่เลี้ยงได้ นำไปสู่ภาวะขาดทุนให้เกษตรกร
ชื่อ:  2343_2.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  310.0 กิโลไบต์
คุณสนิท ชูเวช เกษตรกรหมู่ 8 ตำบลปากน้ำ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เกษตรกรผู้มีความรู้ความสามารถในการเลี้ยงเป็ดบาบารี่แนะนำการป้องกันการกัด กินขนในเป็ดเนื้อบาบารี่ ดังนี้

เทคนิคการป้องกันการกัดกินขนในเป็ดเนื้อบาบารี่

- เริ่มจากการเลือกสถานที่เพื่อใช้เป็นโรงเลี้ยงเป็ด มีหลังคาสูงโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความเครียดและการแออัดของเป็ดเนื้อบาบารี่
- หลังจากนั้นจึงทำการปล่อยเป็ดเนื้อบาบารี่เข้าโรงเลี้ยง ทำการให้น้ำและอาหารวันละ 1 มื้อ
- เมื่อเป็ดมีอายุประมาณ 1 เดือน ให้คอยสังเกตอาการของเป็ดเนื้อบาบารี่ หากพบว่าเป็ดเนื้อบาบารี่กินอาหารน้อยลง และเริ่มกัดกินขนกันเองให้นำกรรไกรที่มีความคมมาทำการตัดบริเวณปลายปากของ เป็ดเนื้อบาบารี่ทั้งปากบนและปากล่างประมาณ 0.5 เซนติเมตร
- จะพบว่าเป็ดเนื้อบาบารี่มีเลือดออกบริเวณปากที่ถูกตัด ให้ทำการปล่อยเป็ดเนื้อบาบารี่ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน เป็ดเนื้อบาบารี่จะเริ่มกินอาหารได้ตามปกติ และพบว่าเป็ดเนื้อบาบารี่จะไม่กัดกินขนกันอีก ทำให้เป็ดเนื้อบาบารี่เจริญเติบโตได้ดี และปัญหาเป็ดเนื้อบาบารี่กัดกินขนก็จะหมดไป


ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

เกษตรกรอุบลฯ หันมาเลี้ยงไก่สามสายพันธุ์ สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ เลี้ยงง่าย โตเร็ว

เกษตรกรอุบลฯ หันมาเลี้ยงไก่พื้นเมืองสามสายพันธุ์แทนไก่เนื้อ และไก่พื้นเมืองทั่วไป เนื่องจาก เลี้ยงง่าย โตเร็ว มีความต้านทานต่อโรค ราคาดี และตลาดมีความต้องการสูง
ชื่อ:  check poutry sikiew11.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  129.6 กิโลไบต์
เมื่อ วันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คุณเกษม ตอพล เจ้าของเกษมพลฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงเป็ด และไก่พื้นเมืองสามสายพันธุ์ ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ให้สัมภาษณ์กับทางรายการร่วมด้วยช่วยเกษตรกร สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จังหวัดอุบลราชธานี FM 102.75 MHz. ว่า หลังจากที่หันมาเลี้ยงไก่พื้นเมืองสามสายพันธุ์มาเป็นเวลา 2 ปี ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เพราะเป็นไก่พื้นเมืองสามสายพันธุ์ เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่ตลาดมีความต้องการสูง ประชาชนนิยมบริโภค อีกทั้งเกษตรกรในพื้นที่ยังมีความต้องการเลี้ยงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเกษตรกรในเขตอำเภอสำโรง และอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้ทางฟาร์มจำหน่ายได้ทั้งไก่รุ่น (ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม) และลูกไก่อายุ 1 วัน เฉลี่ยขายได้ ปีละ 20,000-30,000 ตัว โดยไก่รุ่น ขายในราคา กิโลกรัม 75 บาท และลูกไก่แรกเกิดอายุ 1 วัน ขายในราคาตัวละ 20 บาท
นายเกษม กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ไก่สามสายพันธุ์” เป็นไก่ลูกผสม ระหว่างไก่พื้นเมือง ไก่ไข่ และไก่เนื้อ ซึ่งได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างดี เนื่องจากไก่สามสายพันธุ์ มีลักษณะคล้ายกับไก่พื้นเมือง คือ มีสร้อยสีต่างๆ บริเวณคอ มีรูปทรงเหมือนไก่เนื้อ ตัวอ้วนป้อมหางสั้น การที่ตนหันมาเลี้ยงไก่พันธุ์นี้แทนการเลี้ยงไก่พื้นเมืองและไก่เนื้อ เนื่องจากเป็นไก่ที่โตไว มีความอึดและทนมากกว่าไก่เนื้อ เนื้อไก่มีรสชาติดี เหนียวนุ่มเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค ทั้งยังมีน้ำหนักตัวมากขายได้ราคาดี โดยไก่รุ่น น้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม ราคา 70-80 บาท/กิโลกรัม ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาลราคาจะขยับขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงนั้นก็ไม่สูงมากนัก ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงสั้น เลี้ยงเพียง 2-3 เดือนก็สามารถจับขายได้ ต้นทุนอาหารจะตกตัวละประมาณ 45-55 บาท เท่านั้น ในขณะที่ไก่พื้นเมืองต้องเลี้ยงนานถึง 6 เดือน จึงจะสามารถขายได้ จึงนับเป็นอาชีพที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรมือใหม่ ที่กำลังมองหาอาชีพด้านการทำปศุสัตว์ที่มีทิศทางด้านการตลาดที่ดี สามารถทำเงินได้ในระยะเวลาอันสั้น

สำหรับเกษตรกรที่สนใจ อาชีพการเลี้ยงไก่พื้นเมืองสามสายพันธุ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เกษมพลฟาร์ม ตั้งอยู่เลขที่ 232 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทร. (089) 845-9426
แหล่งที่มาของข้อมูล : คุณเกษม ตอพล, สัมภาษณ์, 13 กรกฎาคม 2555.

เรียบเรียงโดย : ทัศวรรณ สีลาสอน เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.อุบลราชธานี 
 

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

แนะวิธีเพาะเห็ด "ขอนขาว"





เห็ดขอนขาว ไม่เพียงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในภาคอีสานเท่านั้น ยังสามารถขายได้ราคาดีอีกด้วย

ทำให้เกษตรกรในภาคอีสานส่วนใหญ่หันมาสนใจการเพาะเห็ดขอนขาวกันมากขึ้น เห็นได้จากความสำเร็จของ "มานิตย์ แก้วอุดร" อายุ 41 ปี ทิ้งอาชีพรับจ้างทั่วไปหันมาเพาะเห็ดขอนขาวขาย พร้อมกับทำการเกษตรแบบพอเพียงบนที่ดินของตัวเองกว่า 9 ไร่ สร้างรายได้ให้ครอบครัวเป็นอย่างดี
มานิตย์เล่าว่า หลังประสบปัญหาด้านการเงินในปี 2549 จึงเริ่มศึกษาเรียนรู้กรรมวิธีการเพาะเลี้ยงเห็ดอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการศึกษาดูงานเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงเห็ด จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2550 ได้รวบรวมเงินลงทุนจากการกู้ยืมจำนวน 7 หมื่นบาท มาลงทุนเพาะเห็ดขอนขาว

โดยใช้สูตรการเพาะประกอบด้วยขี้เลื่อยไม้ ยางพารา 100 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 3.5 กิโลกรัม ปูนขาว 2 กิโลกรัม ปูนยิปซัม 2 กิโลกรัม ดีเกลือ 5 ขีด ภูไมท์ 5 ขีด แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม หัวเชื้อเพาะเห็ดขอนขาว 3 ลัง บรรจุลังละ 40 ขวดโซดาวันเวย์ และ 65-75 เปอร์เซ็นต์

มานิตย์เผยต่อว่า เมื่อได้วัสดุครบทุกอย่างคลุกเคล้าให้เข้ากันสุดท้ายนำน้ำมาผสมลงไปให้พอ เหมาะอย่าให้แฉะเกินไป บรรจุลงถุงพลาสติกอัดให้แน่น ใส่ปลอกคอขวดพลาสติก แล้วใส่สำลีปิดทับด้วยพลาสติกรัดด้วยยางรัด จากนั้นนำไปนึ่งในถังความจุขนาด 200 ลิตร โดยใช้อุณหภูมิความร้อน 100 องศา ใช้เวลานึ่ง 5 ชั่วโมง เพื่อให้เชื้อเห็ดออกผลผลิตได้ตลอด 6 เดือน หลังจากนึ่งเสร็จแล้วปล่อยให้เย็นแล้วค่อยนำออกจากหม้อนึ่งนำเข้าห้องเขี่ย เชื้อที่ต้องมีอุณหภูมิความเย็นพอเหมาะ

ในส่วนกรรมวิธีการเขี่ย เชื้อเห็ดลงถุงพลาสติก มานิตย์อธิบายว่า ต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการเขี่ยเชื้อ คือ ขวดหัวเชื้อเห็ดขอนขาว ตะเกียงแอลกอฮอล์ สำลี ไม้ขีดไฟ กระดาษหนังสือพิมพ์ ตัดขนาด 2.5-4 นิ้ว และยางรัด โดยขั้นตอนการเขี่ยเชื้อเห็ดขอนขาวจะต้องนำขวดเชื้อเห็ดขอนขาวมาลนไฟที่ ตะเกียงแอลกอฮอล์ ใช้เข็มเขี่ยเชื้อ ย่อยหัวเชื้อให้ละเอียดนำไปเคาะลงในถุงพลาสติกแต่ละถุง ประมาณ 10-20 เมล็ด ขวดเชื้อ 1 ขวด เขี่ยลงถุงได้ประมาณ 35-40 ถุง ปิดสำลีแล้วปิดกระดาษ รัดด้วยยางรัดอีกทีให้มิดชิด แล้วนำไปวางเรียงกันไว้บนชั้นในโรงเรือนบ่มเชื้อ

ทั้งนี้การบ่มเชื้อเห็ดขอนขาวจะใช้ระยะเวลาบ่มประมาณ 1 เดือน ก่อนนำไปเปิดดอกในแผงโรงเรือนที่เตรียมไว้ โดยใช้เซฟวิน 85 ผสมน้ำ รดหรือฉีดพ่นทุก 1 สัปดาห์ ทิ้งไว้ 2 วัน หลังจากนั้นพ่นยาเรียบร้อยแล้ว วันที่ 3 เข้าไปแกะกระดาษ ดึงสำลีออก แล้วใช้หางช้อนเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ แล้วเขี่ยเมล็ดข้าวฟ่างภายในปากถุงออกทุกถุง จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม 1 วัน วันต่อมาถอดปลอกคอออกแล้วดึงหน้าถุงพลาสติกให้เหยียดตรง แล้วใช้มีดโกนกรีดปากถุงด้านล่าง โดยการกรีดเข้าหาตัวเอง รดน้ำวันละ 3 ครั้งแล้วสังเกตว่าถุงใดมีดอกเห็ดออกดอกเป็นตุ่มงอกออกมาให้ใช้มีดโกนกรีด บริเวณไหล่ถุงโดยรอบออก

“หากก้อนไหนยังไม่ออกดอกอย่ากรีดปล่อยไป เรื่อยๆ โดยรดน้ำวันละ 3 เวลา และก้อนใดออกดอกเต็มที่แล้วใช้มีดคมๆ ตัดส่งขายตลาดได้ และที่สำคัญอย่าพยายามดึงดอกเห็ดรุ่นแรกเพราะอาจทำให้หน้าก้อนเห็ดพังได้ ยอมรับว่าเห็ดขอนขาวเป็นเห็ดที่เลี้ยงง่าย โตไวแล้วก็ขายได้ราคาดีด้วย"

เจ้า ของฟาร์มเห็ดขอนขาวย้ำด้วยว่า สำหรับตลาดไม่มีปัญหา เพราะทุกวันนี้จะมีพ่อค้าแม่ค้าในเขตเทศบาลนครขอนแก่นมารับซื้อถึงหน้าโรง เรือน โดยราคาขายส่งกิโลกรัมละ 55-60 บาท ขายปลีก กิโลกรัมละ 80-100 บาท ซึ่งหากเป็นช่วงฤดูหนาวจะมีราคาถึงกิโลกรัมละ 120-130 บาท สร้างรายได้ให้ครอบครัวเดือนละไม่ต่ำ 1 หมื่นบาท




ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม 

การเพาะเห็ดเข็มทอง

การเพาะเห็ดเข็มทอง





ลักษณะ ตามธรรมชาติมี สีเหลือง – ส้ม น้ำตาล – แดง หมวกเล็กพบขึ้นทั่วไปในเขตหนาว เช่น จีน ญี่ปุ่น อเมริกา และออสเตรเลีย ชอบขึ้นกับไม้ที่ตายแล้วและออกดอกในช่วงฤดูหนาว ชาวบ้านจึงนิยมเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า เห็ดเหมันต์ (Winter mushroom) ปกติจะมีดอกขนาดเล็ก และสั้น แต่ที่วางขายในตลาดทั่วไปจะมีดอกเล็ก ลำต้นยาวเป็นกระจุกผิดไปจากที่พบเห็นในธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปริมาณและน้ำหนักที่ดี และสะดวกในการบรรจุจำหน่าย เห็ดชนิดนี้สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายประเภท อาทิ สุกี้ ในธรรมชาติมีสีเหลือง – ส้ม น้ำตาล – แดง หมวกเล็ก
คุณค่าทางโภชนาการ
โปรตีน 25%, ไขมัน 1%, แป้ง 53%, เยื่อใย 12%, เถ้า 8%, วิตามินบี 1, วิตามินบี, วิตามินซี และ arginine
สรรพคุณทางยา
ถ้า รับประทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรัง เห็ดเข็มทองมีสาร flammulin สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง(Ehrlich) และเซลล์มะเร็ง Sarcoma 180 ในหนูขาว ได้ผลถึง 81.1-100% และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิต
วิธีการเพาะเห็ดเข็มทอง
เห็ด เข็มทอง เป็นพวกย่อยสลายเนื้อไม้ ชอบขึ้นบนตอไม้ วัสดุที่ใช้เพาะจึงเป็นขี้เลื่อย หรือซังข้าวโพดบดละเอียดผสมอาหารเสริม ได้แก่ รำข้าวละเอียด pH ให้อยู่ระหว่าง 6.0-7.5 ความชื้น 60-65% บรรจุในขวดพลาสติกทนร้อน อบฆ่าเชื้อที่ 121°C เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่เชื้อเห็ดเลี้ยงไว้ในห้องอุณหภูมิ 18-22°C ประมาณ 1 เดือน พอเชื้อเจริญเต็มขวด นำไปเข้าห้องเปิดดอกที่อุณหภูมิ 10-15 °C ความชื้น 85-95% เมื่อดอกเห็ดเจริญสูงกว่าปากขวด 2-3 ซม. ให้ใช้กระดาษสะอาดหรือแผ่นพลาสติกหุ้มรอบปากขวด เพื่อช่วยบังคับให้ดอกเห็ดเจริญเติบโตในแนวสูง และเป็นกลุ่มก้อนง่ายต่อการเก็บดอกและคัดบรรจุ
ศัตรูเห็ด
เกิดจาก แมลง-ศัตรูที่คอนทำลายเห็ดและพบเป็นประจำก็คงจะเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ มีปีก จัดอยู่ในวงศ์ดิบเทอรา (Diptera) ก็คือแมลงวันเป็นส่วนมาก ทั้งนี้เพราะว่าหนอนแมลงวันพวกนี้มีขนาดจิ๋ว เป็นศัตรูที่คอยทำลายเงียบ ๆ แต่รุนแรง หนอนผีเสื้อ ดวงปีกแข็งเพลี้ยไฟ แมลงสาบ หนู
การป้องกันและกำจัด
พ่น ด้วยคาร์บาริล (เซฟวิน 80 WP) หรือใช้ไดอาซินอน (บาซูดริน 40 WP) อัตรา 40-60 กรัม (4-6 ช้อนแกง) ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อกำจัดแมลง พ่นสารฆ่าไรไดคาร์โซล 25 WP หรืออมิทราช 20 EC อัตรา 2-3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร
ราคาเห็ดเข็มทอง ตามท้องตลาด โดยประมาณ กิโลกรัมละ 200 - 300 บาท

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

ขั้นตอนการเพาะเห็ดนางฟ้า






การเพาะเห็ดนางฟ้ามีระบบการผลิตแยกชัดเจนได้เป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ

1) การผลิตเชื้อวุ้น

2)การทำหัวเชื้อเห็ด

3)การผลิตเชื้อถุงหรือก้อนเชื้อ

4)การเพาะให้เกิดเป็นดอกเห็ด

การลงทุนจะมากในขั้นตอนที่ 1 - 3 ส่วนขั้นที่ 4 คือการผลิตดอกเห็ด จะทำขนาดเล็กใหญ่เท่าใดก็ได้ ไม่ต้องลงทุนมาก หรือจะดัดแปลงจากโรงเรือนอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว และที่วางอยู่มาใช้ได้ และในขั้นตอนนี้ ผู้ที่ต้องการเพาะจะทำครบทุกขั้นตอนเลยก็ได้ หรืออาจจะทำเป็นบางขั้นตอน เช่น จะทำเฉพาะหัวเชื้อเห็ด โดยการนำก้อนเชื้อที่ทำสำเร็จรูปแล้วมาเปิดออก รดน้ำให้เกิดดอกเห็ดเลยก็ได้ ซึ่งระบบการตั้งฟาร์มเห็ด ได้รับการแนะนำให้ทำเป็นขั้น ๆ ดังต่อไปนี้
1. เริ่มเรียนรู้วิธีการกินเห็ด เราจะทำธุรกิจเห็ดต้องกินเห็ดเก่ง ต้องปรุงอาหารจากเห็ดหลายชนิด ทำให้อร่อยด้วย สามารถแนะนำผู้ซื้อเห็ดไปปรุงเองได้อย่างมั่นใจ เช่นนี้ทำให้เราพร้อมต่อการขายเห็ด
2. ผลิตดอกเห็ดขาย 90% ของฟาร์มเห็ดที่ทำอยู่เริ่มจากวิธีนี้ โดยทำโรงเรือนขนาดย่อมๆ เพื่อใช้เพาะเอาดอกเห็ด ซื้อถุงเชื้อจากฟาร์มมาผลิตดอก โดยหาความชำนานและความรู้ไปเรื่อยๆ จนเชี่ยวชาญ ขั้นนี้อย่าเพิ่งลงทุนทำถุงเชื้อเอง ให้ซื้อถุงเชื้อจากฟาร์มที่ทำขายดีกว่า เริ่มจากน้อยๆ ทยอยทำ ได้เห็ดมาก็นำไปขายตลาด ขายเองหรือส่งแม่ค้าก็ได้ ขยายตลาดดอกเห็ดเพิ่มมากขึ้นไปเป็นลำดับ จนตลาดใหญ่ขึ้นและสม่ำเสมอดีแล้วจึงคิดผลิตถุงเชื้อ แต่ถ้าตลาดไปไม่ได้ก็หยุดแค่นั้น ไม่ขาดทุนมาก
3. ผลิตถุงเชื้อเห็ด ถ้าตลาดรับซื้อเห็ดและถุงเชื้อมากพอ จึงตั้งหน่วยผลิตถุงเชื้อได้ แต่ถ้าคำนวณว่าซื้อถุงถูกกว่าผลิตเองก็ไม่ควรทำ ควรไปดูฟาร์มทำถุงเชื้อหลาย ๆ ฟาร์ม แล้วมาคำนวณว่าเครื่องมือและวิธีการแบบใดดีที่สุด เตรียมการเอาคนคุมงานไปฝึกงานในฟาร์ม หรือติดต่อจ้างคนชำนาญในฟาร์มเก่ามาทำฟาร์มใหม่ ขั้นตอนนี้ก็ควรซื้อเชื้อข้าวฟ่าง ยังไม่ควรทำเอง การลงทุนขนาดเล็กจะใช้หม้อต้มไอน้ำต่างหาก (สตีมเม่อร์) แล้วต่อท่อมาอบถุงขี้เลื่อยในอีกหม้อต่างหาก ถ้างานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นสมควร แล้วค่อยผลิตเชื้อข้างฟ่างและซื้อวุ้นต่อไป
4. ผลิตเชื้อวุ้นและเชื้อข้าวฟ่าง เริ่มทำเมื่องานฟาร์มมีขนาดใหญ่มาก สำหรับระยะ 1 - 2 ปี ที่ผ่านมานั้นถ้ายังไม่ทำเชื้อวุ้นและเชื้อข้าวฟ่างมาก่อน ก็ไม่ควรทำขึ้นใหม่ มีผู้ทำขายมากอยู่แล้ว ซื้อเขาใช้ดีกว่า นอกจากจะห่างไกลซื้อยากจริงๆ แล้วต้องใช้มากจึงค่อยทำ



ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

การใช้มันสำปะหลังกำจัดปูนา

ชื่อ:  spd_2011042890333_b.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  36.7 กิโลไบต์
การกำจัดปูนา ด้วยหัวมันสำปะหลังนี้ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่พบโดยบังเอิญเป็นเรื่องที่ค้นพบมานานแล้ว แต่ไม่ได้นำมาใช้เป็นเวลานานแล้ว แต่เนื่องจากในสภาพปัจจุบันข้าวมีราคาแพง เกษตรกรจึงได้นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่องการกำจัดปูนาด้วยมันสำปะหลังมาใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ทำให้ปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ตาย นอกจากปูนาเท่านั้น และยังเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมทั้งลดต้นทุนการผลิตอีกทางหนึ่งด้วยวิธีการนำหัวมันสำปะหลังสดที่แก่จัด ( อายุ 10-12 เดือน ) ที่มีเปอร์เซ็นต์แป้งสูง ๆ สับเป็นชิ้นบาง ๆ ( ประมาณ ½ ชม. ) ตามขวางของหัวแล้วนำไปหว่านในนาข้าวให้ทั่ว เสร็จแล้วปูนาจะไปกัดกินหัวมันแทนการกัดกินต้นข้าว ทำให้ปูนาตายลง ทั้งนี้จากการสอบถามผู้รู้ด้านวิชาการให้เหตุผลว่าในหัวมันสำปะหลังมีสารไซ ยาไนท์อยู่เมื่อปูกัดกินเข้าไปจะทำให้ปูตายในที่สุด ภูมิปัญญาจาก : คุณสน แตงกำเนิดแหล่งที่มาของข้อมูล :คณะทำงานการจัดการความรู้ สำนักงานเกษตรจังหวัดพระนครศรอยุธยา

การล่อปูนาไปกำจัดด้วยลูกตาลสุก

การล่อปูนาไปกำจัดด้วยลูกตาลสุก 

 

การล่อปูนาไปกำจัดด้วยลูกตาลสุก
ชื่อ:  imagesCAAWBLPA.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด:  11.9 กิโลไบต์


ข้าว(1)กำจัดปูนากัดกินต้นข้าว ขุดหลุมในนา ลึก 1 ฟุต กว้าง 2 ฟุต ไร่ละ 2 หลุม
ข้าว(2)นำลูกตาลสุกทุบพอแหลก 4 ผล/หลุม ล่อปูมากินและจับทำลาย

การใช้ลูกตาลสุกดักจับปูนา
ปูนาจัดเป็นศัตรูข้าวที่สำคัญและเป็นอุปสรรคในการทำนาข้าว ของทุกภาคของประเทศ ความเสียหายที่เกิดจากปูนามักพบในนาที่ เพิ่งปักดำใหม่ๆ โดยเฉพาะนาที่มีน้ำลึกและน้ำขุ่น ปูนาจะเริ่มกัดทำลาย ต้นข้าวในแปลงตกกล้า และในระยะหลังปักดำไปเป็นเวลาอีกประมาณ 7-10 วัน หลังจากนี้แล้วความเสียหายจากปูนาจะลดน้อยลง กล้าข้าวจะ ถูกกัดเป็นกอๆ หรือหลายกอเป็นหย่อมที่มีขนาดกว้าง 3-5 ตารางเมตร ความเสียหายอีกอย่างหนึ่งคือ ปูนาจะขุดรูตามคันนาและคันคูส่งน้ำ ทำให้ทั้งคันนาและคันคูส่งน้ำเก็บกักน้ำไว้ไม่ได้ จึงไม่สะดวกในการ ควบคุมระดับน้ำในนา

ปู นาจะกัดต้นข้าวในระดับสูงจากพื้นดินประมาณ 2 ซม. โดยจะใช้ก้ามทำหน้าที่ยึดและโน้มต้นข้าวเข้าปาก และใช้ ขากรรไกร กัดต้นข้าว ปูไม่กินต้นข้าวทุกต้นที่ปูกัด ปูขนาดเล็กที่กำลังเจริญเติบโตจะกัดต้นข้าวมากกว่าปูเต็มวัย ปูจะทำลายต้นข้าวได้ตลอดวัน ยกเว้นช่วงเวลาที่แดดร้อนจัด ปูจะทำความเสียหายให้แก่นาดำมากที่สุด และจะกัดกินต้นข้าวในช่วง 7 วันแรกหลังจากปักดำเท่านั้น เมื่อต้นข้าวตั้งตัวได้ ลำต้นแข็งแล้วปูนาก็จะหยุดกัดต้นข้าว ในนาหว่านพบว่าปูนาทำลายต้นข้าวน้อยมาก วันนี้ขอแนะนำวิธีกำจัดปูนา เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ดังนี้

ลูกตาลสุกล่อปูนา (ที่มาภูมิปัญญา คุณบุญรอง ปิยวรรณหงส์)

วิธีการ
1.ขุดหลุมตามท้องนา หรือ มุมใดมุมหนึ่งของท้องนา ลึกประมาณ 1 ฟุต กว้างประมาณ 2 ฟุต โดยขุดไร่ละ 1-2 หลุม
2.นำลูกตาลสุกมาทุบให้พอแหลก แล้วนำไปใส่ในหลุม4 -5 ผลต่อหลุม
3.เมื่อปูได้กลิ่นหอมจากผลตาล จะลงไปกัดกินจำนวนมาก ให้เกษตรกรจับปูนาไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ

ข้อแนะนำ : วิธีนี้เหมาะสำหรับการทำหลังช่วงปักดำใหม่ๆ


แหล่งที่มาของข้อมูล : คณะทำงานการจัดการความรู้ สำนักงานเกษตรจังหวัดพระนครศรอยุธยา

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม  

วิธีกำจัดปูนาในนาข้าวด้วยสะเดา

 

วิธีกำจัดปูนาในนาข้าวด้วยสะเดา 

ชื่อ:  1ssl13169pz2.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด:  218.0 กิโลไบต์
วิธีกำจัดปูนาในนา
หากพบการระบาดของปูนาในแปลงข้าว เพียงใช้ใบสะเดาสดวางในจุดที่มีน้ำขัง รสขมฝาดในใบสะเดาจะไหลออกมาและสามารถกำจัดปูนาให้สิ้นซากได้


การใช้ใบสะะเดาสดกำจัดปูนา
ปูนา ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญสำหรับนาข้าว เนื่องจากปูนาจะสร้างความเสียหายให้กับต้นข้าวโดยการกัดกินต้นข้าวในช่วงที่ ข้าวเริ่มแตกกอ เกษตรกรผู้ทำนาหลายๆท่านจึงคิดค้นวิธีการที่จะช่วยในการกำจัดปูนาแบบหลาก หลายและแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ และที่จังหวัดสระแก้ว คุณลุงโสภา มะโรงมืด ก็มีสูตรเคล็ดลับง่ายๆที่สามารถกำจัดปูนาไม่ให้เกิดการระบาดและสร้างความ เสียหายให้กับต้นข้าวในนา และวิธีนี้ก็ไม่เป็นอันตรายต่อต้นข้าวในนาด้วย

วิธีการกำจัดปูนาในนาข้าวด้วยใบสะเดาสด

หากเกิดการระบาดของปูนาในนาข้าวมากๆ สามารถป้องกันและกำจัด หรือสามารถตัดวงจรการเจริญเติบโตของปูนาได้ โดยการตัดใบสะเดามาสดๆไปวางไว้ในน้ำหรือตรงบริเวณที่มีปูนาอยู่ชุกชุม ทำการวางใบสะเดาให้ครอบคลุมพื้นที่นาข้าวเกือบทั้งหมด โดยที่น้ำของใบสะเดาจะไหลออกมาทางก้านออกมาเป็นสีเขียวและมีรสชาติขม จึงสามารถไล่ปูนาไม่ให้เข้ามาบริเวณนาข้าวได้ และไม่เป็นอันตรายต่อต้นข้าวในนาอีกด้วย

หมายเหตุ : หากปล่อยใบสะเดาทิ้งไว้ในนาข้าวจนหมดสภาพ หรือปล่อยให้แห้งและเปื่อยในน้ำภายในนาข้าว จะทำให้เกิดการตกตะกอนกลายเป็นปุ๋ยบำรุงต้นข้าวได้ต่อไป นับว่าได้ประโยชน์ 2 ต่อ ที่ได้ผลดีทีเดียว
 

 

ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม 

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มาปลูกผักกินเองหลังบ้านกันเถอะครับ

มาปลูกผักกินเองหลังบ้านกันเถอะครับ

เหตุผลที่เราควรปลูกผักกินเอง เพราะว่า
1. ประหยัดเงินของท่านในการซื้อผักบางชนิดที่ปลูกได้ง่ายเช่น ตะไคร้
มะเขือ มะนาว สะระแหน่ กระเพรา ผักชีลาว ผักชี และอื่นๆ
2. ลดมลพิษจากยาฆ่าแมลงที่ตกค้างมากับผัก ช่วยรักษาสุขภาพของเรา
ให้ดี เดียวนี้หาผักที่ปลอดจากการฉีดยาฆ่าแมลงยากมาก คนปลูกไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ปลูก มะเร็งเป็นโรคทีมากับสารเคมีตกค้าง
3. ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เป็นการออกกำลังกายไปในตัว ลดการฟุ้งซ่านไปทำเรื่องที่ผิดศีล
4.ได้ความภาคภูมิใจในผลผลิตที่เกิดจากการปลูกของเรา
5.ได้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกผักต่างๆ เป็นการฝึกให้ลูกๆของท่านรักธรรมชาติ
6. ได้ความสดใหม่ทุกวัน จากหลังบ้านท่าน
7. ทำให้ใจเย็น รู้จักการรอคอย และการดูแล

แบบที่ 1 การปลูกในกระถางพลาสติกเส้นผ่าศูนย์กลาง 12 นิ้ว ปลูกได้เกือบทุกที่ ไม่ว่าตึกแถวเอาไว้ดาดฟ้า ทาวน์เฮ้าส์เอาไว้หน้า บ้านหรือหลังบ้าน ถือเป็นไม้ประดับบ้าน





มะเขือเปราะก็ปลูกได้งามในกระถาง ใช้ดินปลูกที่ดีและรดน้ำวันละครั้ง
ก็มีผลให้เอามาจิ้มน้ำพริกแล้วครับ




พริกหวานก็ปลูกได้งามเช่นกันในกระถาง





มะเขือเทศก็ให้ลูกได้ดีเช่นกัน



ลูกน่ากินครับ





เอามาวางเรียงกันก็งามครับ



เมล่อนก็ปลูกในกระถางได้ครับ





แบบนี้ก็เป็นแนวทางที่น่าทำครับ




หรือแบบนี้ก็ทำได้ง่ายครับ




การเพาะกล้าผักก็เพาะในกระบะพลาสติก เอาไว้ในที่ร่มรำไรแล้วจึงย้ายปลูกลงกระถางในภายหลัง อุปกรณ์ไม่แพง




แบบที่ 2 ปลูกผักแบบไร้ดิน เหมาะกับพื้นที่จำกัดจริงๆ




แบบง่ายๆ



แบบแนวตั้ง





แบบที่ 3 มีพื้นที่หลังบ้านบ้างแต่ไม่มาก ก้ทำได้เช่นการปลูกในวงบ่อซีเมนต์ ที่นิยมกันมากก็มะนาวครับ




ให้ลูกได้ถ้าน้ำถึงปุ๋ยถึง







แบบที่ 4 มีพื้นที่มากพอสมควรก็ปลูกเป็นระบบ มีระบบการให้น้ำ
แบบแปลงจำลองของ น้องๆภาควิชาเกษตรกลวิธาน ม.เกษตร กำแพงแสนที่นำมาเสนอครับ




ระบบท่อให้น้ำ




สปริงเกอร์ให้น้ำ




ระบบให้น้ำพลังงานแสงอาทิตย์




ปลูกหลากหลายแบ่งเป็นแปลงๆ เรียงอายุการปลูกให้เก็บกินได้ตลอด




ผักสดๆน่ากินปลูกรวมๆกัน เพื่อลดการทำลายของแมลงที่จะมาทำลายผัก




หรือจะใช้ระบบน้ำหยดพร้อมพลาสติกกันระเหยก็ได้ครับ





มาลองปลูกกันครับ อุปกรณ์ต่างๆก้หาได้จากร้านขายอุปกรณ์การเกษตร หรือจะไปซื้อจากจตุจักร หรือสนามหลวง 2 เมล็ดพันธุ์ผักก็มีขายเป็นซองๆละ 10-15 บาท ลองทำดูครับมีแต่ได้กับได้ครับ ผมขอแนะนำ
ศึกษาข้อมูลเกษตร ซื้อขายสินค้าเกษตร แจกฟรีเมล็ดพืช ปศุสัตว์ เกษตรพอเพียงคลับ ดอทคอม